หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552

วิสัยทัศน์ และวินัย

วันนี้สำหรับผู้ที่จะเกษีญณอายุราชการ ถือว่า เป็นวันเกือบสุดท้ายของชีวิตการทำงาน แต่ไม่ได้หมายความว่า เป็นวันหยุดการทำงาน แต่เป็นวันที่เปลี่ยนงาน เปลี่ยนจากงานประจำท่จำเจ ไปเป็นงานอิสระที่มีชีวิตชีวา บางท่านไปคิดว่า ชีวิตหลังเกษียณ เป็นชีวิตที่ไม่ได้ทำงาน ความจริงคิดผิดครับ เพราะคนวัย 60 ทำงานได้อีกมากมาย เพียงแต่เลือกให้ถูกกับสถานการณ์เท่านั้น
  • แต่สำหรับท่านที่คิดว่าจะพักผ่อน ไม่ทำอะไรอีกแล้ว ต้องการหาความสุ๘หลังจากตรากตรำทำงานมานานได้มีผู้ให้คำแนะนำดีๆ เกี่ยวกับการวางแผนการใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุขมากมาย วันนี้ ได้มีโอกาสฟังผู้รู้มาแนะนำการวางแผนการดำเนินชีวิต โดบเฉพาะการวางแผนด้านการเงิน ที่น่าสนใจอย่างมาก เพราะเงินที่ได้รับหลังเกษียณ ถือว่าเป็นเงินออมที่เราเก็บมาตลอดชีวิตการทงำน ดังนั้นต้องมีการใช้จ่ายเป็นอย่างดี
  • สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงคือเรื่องสูตรง่ายๆ ในการใช้งาน คือให้คำนวนยโดยเอารายได้บวกมูลค่าทรัพย์สิน หารด้วยรายจาก ถ้ามากกว่า หรือเท่ากับ 1 แสดงว่าใช่ได้ แต่ถ้าต่ำกว่า 1 ให้ระลึกไว้เสมอว่า กำลังเกิดปัญหา
  • คำสองคำที่เขาแนะนำ ให้นำมาใช้ คือ คำว่า วิสัยทัศน์ และวินัย ซึ่งเป็นเรื่องน่าสนใจมาก แต่เนื่องจากไม่มีรายละเอียดมากนัก จึงไม่กล้านำมาขยายความในที่นี้ เกรงว่า จะผิด Concept ดังนั้น ท่านที่สนใจ ต้องติดตามในรายละเอียดเอาเอง

ข้อมูลเพิ่มเติม

  1. มาวางแผนเกษียณอายุกันเถอะ
  2. วางแผนเกษียณอย่างง่าย
  3. คำนวนการสะสมเงินเพื่อเกษียณ

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2552

ใครจะทำหน้าที่พัฒนา

การทำงานยิ่งขยายแนวรุกออกไปอย่างกว้างขวาง แต่ไม่มีกำลังเสริม ใช้กำลังเท่าที่มี และในที่สุด กองหนุนก็ต้องออกรบในแนวหน้า ทำให้นักรบอ่อนล้า และรบแบบไม่มีทิศทาง เพราะขาดเสนาธิการ ที่จะช่วย ผลสุดท้ายก็สะเปะสะปะ และแพ้ในที่สุด
  • ที่กล่าวอย่างนี้ เพราะดูเหมือนว่า งานการศึกษาโดยเฉพาะ การศึกษานแกระบบและการศึกษาตามอัธยาสัย กำลังจะเป็นอย่างนั้น เพราะขยายแนวการจัดการศึกาลงในพื้นที่อย่างมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี เพราะได้เข้าถึงประชาชน แต่ตอนนี้ กองหลังกำลังโหว่ครับ สังเกตดูให้ดีนะครับว่า หน่วยกำลังบำรุงกำลังทรุกโทรมลงทุกที
  • ขอยกตัวอย่าง มหาวิทยาลัย เขาจะมีหน่วยที่ทำหน้าที่ ศึกษา ค้นคว้า วิจัยเรื่องราวต่างๆ และมีนักศึกษา เป็นผู้ที่เข้ามาสู่กระบวนการของการศึกษาค้นคว้า ก่อนที่จะผลิตนักศึกษาเพื่อออกสู่สังคม ของ กศน.ที่ผ่านมาก็ เช่นเดียวกัน มีหน่วยต่างๆเหล่านี้ ทั้งที่เป็นหน่วยอิสระ และหน่วยที่แฝงอยู่ในหน่วยปฏิบัติการ เพื่อทำหน้าที่เหล่านี้ แต่ทุกวันนี้ หน่วยเหล่านี้อ่อนแอลง หรือถูกถอนกำลังไปเป็นหน่วยปฏิบัติการ โดยไม่มีการเสริมเข้ามาแทน ทำให้แนวหน้าทำงานกันแบบไม่มีการสนับสนุนท่ดีพอ

ทดสอบเพื่ออะไร

ควันหลงจากการตรวจเยี่ยมสนามสอบอีกครั้ง แต่เป็นคำถามที่ค้างค่าใจจากการรับฟังความคิดเห็นของฝ่ายต่างๆ ระหว่างที่ได้พูดคุยระหว่างการไปตรวจเยี่ยมแต่ละสนามสอบ ซึ่งบุคคลสามฝ่ายที่คุยกันนั้น คุยกันต่างเวลา ต่างสถานที่ ต่างสถานการณ์กัน ไม่ได้คุยพร้อมกัน ดังนั้นข้อมูลที่เกิดจากการพูดคุยจึงไมได้ต่อเนื่องหรือสถานการณ์เดียวกัน โดยบุคคลทั้ง 3 กลุ่มได้แก่ นักศึกษาที่เข้าสอบ ครู และผู้บริหารสถานศึกษา
  • กลุ่มนักศึกษา เป็นกลุ่มแรกที่ขอยกมากล่าวถึง เริ่มจากการคุยถึงสภาพทั่วๆไปของการสอบ ประเด็นที่จะได้คำตอบตรงกันออกมาคือ ข้อสอบยาก โดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษ และคณิตศาสตร์ ดูเหมือว่า ถ้าถามประเด็นนี้ที่ไหน ก็จะได้รับคำตอบที่ตรงกันเกือบทั้งหมด ส่วนประเด็นอื่นๆ ถ้าคุยลึกลงไป ผู้ที่มักจะตอบคำถามได้มากและพูดคุยได้ตรงคือ นักศึกษาที่เป็นผู้สูงอายุ แต่ถ้าเป็นนักศึกษาที่เป็นเยาวชนมักจะไม่ค่อยตอบคำถามอะไรมากนัก คำถามที่ชอบถาม ก็คือ ทำไมจึงมาเรียน กศน. คำตอบก็คือ ต้องการได้ความรู้ ต้องการนำเอาความรู้ไปใช้ประโยชน์ แต่บางกลุ่มก็ไม่ตอบโดยตรงเพียงแต่รู้ว่า ต้องเอาวุฒิไปเพื่อสมัครงานหรืออื่นๆ ที่ต้องมีวุฒิทางการศึกษากำหนด ยังไม่รวมกับคำตอบที่ตอบซื่อๆ แบบชาวบ้านว่า ฉันไม่เคยเรียนเลย ครูมีจดหมายแจ้งให้มาสอบก็มา

เมื่อวิเคราะห์คำตอบของกลุ่มแรกคือนักศึกษาจะเห็นว่า ความต้องการแยกเป็น 2 เรื่องที่อาจจะสัมพันธ์กันหรือไม่ก็ไม่รู้ คือเรียนเพื่อเอาความรู้ กับเรียนเพื่อเอาวุฒิ ซึ่งทั้งสอบกลุ่มนี้ดูเหมือนว่า ไม่ค่อยพึงพอใจกับการสอนเท่าไรนัก เพราะความรู้บางเรื่องเขาก็ต้องการ แต่บางเรื่องก็ไม่ต้องการ เช่นชาวไร่ชาวนา ที่ต้องมาสอบภาษาอังกฤษ โดยที่อ่านภาษาอังกฤษ ไม่ออกเลย แต่เมื่อหลักสูตรบังคับให้เรียนก็ต้องเรียน ขณะที่ผู้ที่ต้องการเอาวุฒิ ก็ไม่ค่อยพึงพอใจกับการสอบนักเพราะการสอบ เป็นเรื่องที่สกัดกั้นการได้วุฒิทางการศึกษาเนื่องจากข้อสอบยากเกินไป แต่ดูเหมือนว่า กลุ่มที่สบายในที่สุดก็คือ กลุ่มที่มาเรียนตามความต้องการของครู เพราะการมาสอบถือว่า ได้ทำตามความต้องการของครูแล้ว ส่วนจะได้หรือไม่นั้น ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

  • กลุ่มครู เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้มีโอกาสพูดคุยซักถามประเด็นต่างๆ แต่สองคำถามที่ต้องถามทุกที่คือ ข้อสอบมีปัญหาหรือไม่ คำตอบทุกที่เหมือนกันคือ ไม่มีปัญหา แต่ข้อสอบค่อนข้างยาก แม้แต่ครูยังทำไม่ได้ ส่วนคำถามที่มักจะถามในบางห้องที่มีนักศึกษาขาดสอบมากๆ โดยเฉพาะห้องที่มาสอบไม่ถึงครึ่งว่าเพราะอะไร ถ้าถามครูที่คุมสอบ ก็มักจะไม่ค่อยได้คำตอบ เพราะไม่ใช่เป็นครู กศน. เป็นครูโรงเรียนในระบบโรงเรียนที่มาคุมสอบเฉยๆ แต่ถ้าถามครู กศน. ก็ได้คำตอบที่หลากหลาย เช่น ไปทำงานกรุงเทพ ไม่สามารถมาสอบได้ หรือถ้าเป็นนักศึกษาระดับประถมศึกษาซึ่งส่วนมากเป็นผู้สูงอายุและไม่มาสอบ ก็มักจะบอกเหตุผลว่า ไม่ว่าง ติดงานสำคัญ หรือไปพบคำตอบแห่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ การที่เด็กไม่มาสอบเพราะเคยสอบไม่ผ่านมาแล้ว และลงทะเบียนใหม่ จึงไม่อยากมาสอบ เพราะคิดว่า มาสอบก็คงไม่ผ่านอีก

เมื่อวิเคราะห์ในกลุ่มของครูเริ่มที่ประเด็นแรกที่บอกว่าข้อสอบยากเกินไป ถ้ามองในประเด็นหลักการวัดผล ก็ต้องถามว่า แบบทดสอบของเราต้องการวัดอะไร และข้อสอบนั้นยากเกินไปจริงหรือไม่ และถ้าข้อสอบยาก จะสามารถวัดผลได้ตามความต้องการของหลักการวัดผลหรือไม่ เพราะข้อสอบและการวัดผลนั้นมีหลายวัตถุประสงค์ ถ้าต้องการสอบเพื่อคัดเลือก ข้อสอบก็จะมีลักษณะเด่นไปอย่างหนึ่ง ถ้าการวัดผลเพื่อการจำแนกคน ข้อสอบก็จะเป็นอย่างหนึ่ง ถ้าข้อสอบเพื่อวัดความรู้ความสามารถที่แท้จริงของคน ข้อสอบก็จะออกมาอย่างหนึ่ง ก็ต้องถามว่า การวัดผลปลายภาคเรียนของเรา ต้องการวัดอะไรจากนักศึกษา และแบบสดสอบนั้นวัดได้ตรงหรือไม่

  • กลุ่มที่สาม คือกลุ่มผู้บริหาร เป็นกลุ่มที่มีโอกาสพูดคุยด้วยน้อยมาก เพราะไม่ค่อยได้มีโอกาสพบ ส่วนมากที่ถาม ก็จะเป็นคำถามในเชิงการบริหารงานเช่น วิธีการทดสอบแบบนี้เหมาะสมหรือไม่ ซึ่งเป็นคำถามที่กว้างมาก หรือคำถามเช่นเดียวกับครู แต่ถามคนละอย่างคือ ทำอย่างไร จะให้เด็กมาเข้าสอบมากขึ้น ซึ่งจะเกี่ยวโยงไปถึงกระบวนการทั้งหมดของการจัดการศึกษา ซึ่งคำตอบจะเป็นคำตอบเชิงนโยบาย แต่คำถามจะแฝงไปด้วยความต้องการที่จะแก้ปัญหาเรื่องการ Drop out เพราะมันเชื่อมโยงไปถึงความสูญเปล่า ของการจัดการศึกษา ที่มีการจ่ายงบประมาณรายหัว หัวละพันกว่าบาท ดังนั้น คำถามนี้ จึงมักจะไม่ค่อยเกี่ยวข้องว่า ทดสอบเพื่ออะไร แต่จะเป็นคำถามว่า ทำอย่างไรให้นักศึกาามาทดสอบมากกว่า

จากข้อมูลการทดสอบปลายภาคเรียนครั้งนี้ เป็นเพียงเสี้ยวหนึงของกระบวนการจัดการศึกษานอกระบบเท่านั้น ถ้าเอาข้อมูลทุกส่วนมาปะติดปะต่อกัน ตั้งแต่นักศึกษาเดินเข้ามาในรั้ว กศน. จนกระทั่งจบออกไป บางทีนักการศึกษานอกโรงเรียนอาจจะได้ประเด็นที่ต้องกลับมาคิดทบทวนว่า การศึกษานอกโรงเรียนคืออะไรกันแน่ และที่เราทำอยู่มันใช่หรือไม่

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2552

ศีล สมาธิ ปัญญา

บางทีอาจจะเคยได้ยินคนเอ่ยถึงปรัชญาในวงเหล้า เพราะหลายๆเรื่องที่คนเราคุยกันในวงเหลา จะเริ่มตั้งแต่ยังไม่เมา ก็คุยกันแบบระมัดระวังคำพูด แต่เมื่อเริ่มควบคุมสติไม่ได้ คำพูดที่ออกมาก็เริ่มขาดการควบคุมจากสมองส่วนที่เรียกว่า สติ แต่ก็เป็นส่วนที่ทำให้เป็นคำที่หลุดออกมาจากสิ่งที่อยู่ภายใต้จิตสำนึก ที่บางครั้งก็ไม่เคยหลุดปากออกมาเลยในยามปกติ
  • ที่เกริ่มนำมานี้ ก็เพราะมีการนำเอาเรื่องของหลักธรรมคำสอนมาถกกันในวงเหล้า ซึ่งฟังดูเหมือนกับว่ามันขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง แต่ถ้าบังอิญว่าในวงเหล้านั้น มีทั้งคนที่ขาดสติและคนที่มีสติ ก็คงจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากวงเหล้าได้บ้างจากคนที่มีสติ
  • น่าแปลกมากที่คนกำลังจะไม่มีสติยกเอาหลักธรรมที่ถือว่าเป็นขั้นสูงมาพูดคือเรื่องปัญญา โดยกล่าวถึงวิธีที่จะทำให้เกิดปัญญา ว่าจะต้องเป็นผู้ที่มีสติ สามารถรู้เท่าทันทุกสิ่งทุกอย่าง รู้ว่ากำลังเกิดอะไร กำลังทำอะไร กำลังคิดอะไร แล้วก็ตามดูให้รู้ตลอดเหมือนถอดเอาในออกมานอกกาย แล้วดูว่ากายกำลังทำอะไร
  • ขณะที่พูดไป คนที่พูดก็เริ่มขาดสติขึ้นทุกทีเพราะความเมา

ความต้องการไม่ตรงกัน

วันนี้ได้มีโอกาสออกนิเทศและตรวจเยี่ยมสนามสอบ กศน. ได้พบกับนักศึกษา กศน.ที่มาเข้าสอบปลายภาคเรียนในห้องสอบต่างๆ ทั้งที่เป็นวันรุ่น และนักศึกษาสูงวัย เห็นแล้วก็ชื่นใจว่า เราได้เปิดโอกาสให้เขาเหล่านี้ได้มีโอกาสได้เข้าเรียนหนังสือ ได้ศึกษาหาความรู้

  • ที่กล่าวมานั้นเป็นภาพที่เราภูมิใจ แต่ก็มีอีกภาพหนึ่งที่จะต้องหาคำตอบเพราะพบว่า ในแต่ละห้องสอบนั้น บางห้องมีกนักศึกษาไม่ได้มาสอบประมาณครึ่งหนึ่ง หรือบางห้องก็ประมาณ 30-40 เปอร์เซ็นต์ที่ไม่มาสอบ มีคำถามว่า เพราะอะไร ก็ลองเริ่มถามจากครูที่เกี่ยวข้องก็ได้สาเหตุตามความคิดเห็นของครูหลายประการ ลองมาดูกันนะครับว่า มีเหตุผลอะไรบ้าง
  • เหตุผลแรกคือ ช่วงที่สอบตรงกับงานบุญของหมู่บ้าน เขาเรียกว่าบุญสังฆทาน นักศึกษาที่เป็นผู้สูงวัยทั้งหลายจะไม่มาสอบเพราะต้องไปร่วมงานบุญก่อน ทำมห้ไม่สามารถมาสอบตามช่วงเวลาที่กำหนดในตารางสอบได้
  • เหตุผลประการที่สอง กลุ่มที่ไม่มาสอบส่วนมากเป็นกลุ่มที่เคยเรียนและสอบไม่ผ่านมาเมื่อครั้งนี้แล้ว จึงลงทะเบียนใหม่ และไม่มาสอบเพราะคิดว่ามาสอบก็สอบไม่ผ่านอีก (ครูบอกเช่นนั้น)
  • เหตุผลประการที่ 3 ไม่สามารถมาสอบได้ เพราะทำงานที่อื่น เช่นที่กรุงเทพ

นี่เพียงเหตุผลบางประการยังไม่รวมสาเหตหรือเหตผลอื่นๆที่บงครัง้ก็ไม่สามารถบอกได้ ซึ่งจากเหตุผลเอาแค่ 3 ประการนี้ ก็น่าจะแสดงว่า นักศึกษาเห็นว่า การมาสอบนั้น มีความสำคัญน้อยกว่าเรื่องอื่น เช่น สำคัญน้อยกง่างานบุญ สำคัญน้อยกว่าการทำงาน เช่นนั้นใช่หรือไม่ หรือนักศึกษาอยากเรียนเอาความรู้เฉยๆ ถึงไม่ได้วุฒิเพื่อแสดงว่าจบก็ไม่เป็นไร ใช่หรือไม่ หรือความจริงแล้ว เขาก็ไม่ต้องการมาเรียนเท่าไร จึงไม่มาสอบ เป็นเรื่องที่เราเองก็สุดที่จะเดาได้เพราะไม่ได้ใกล้ชิดกับสถานการณ์เพียงพอ แต่ปรากฏการณ์ที่มีนักศึกษาขาดสอบถึงประมาณร้อยละ 20-50 ก็เป็นเรื่องที่ควรเก็บเอามาพิจารณาเช่นกันเพราะอย่างน้อยๆตัวเลขเหล่านี้ก็มีผลกระทบกับอะไรบางอย่าง

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

ความรู้พื้นฐานการใช้อินเทอร์เน็ต

จากการไปไปพบปะกับเพื่อนครูที่อยู่ในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพพาะกับครูที่เข้ารับการอบรมทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ตบางท่าน ได้ข้อมูลที่เป็นทั้งเรื่องที่มีกำลังใจในการทำงานต่อ และเรื่องที่ทต้องกลับมาคิดวิธีการแก้ปัญหา

  • เอาเรื่องที่ฟังแล้วก่อให้เกิดกำลังใจก็คือ เรื่องความก้าวหน้าในการใช้งานอินเทอร์เน็ต มีผู้บริหารท่านหนึ่งถามว่า ทำไมไม่จัดการเรียนการสอนผ่านทางอินเทอร์เน็ตไปให้ถึงนักศึกษา เพราะตอนนี้ ครูที่ผ่านการอบรม ได้เรียนรู้ และใช้งานอินเทอร์เน็ตเป็นแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการค้นหาข้อมูลต่างๆ ผ่านทางอินเทอร์เน็ต ดังนั้น ถ้าเปิดการเรียนการสอนผ่านทางอินเทอร์เน็ต ก็คงจะช่วยได้มาก โดยครูที่มีประสบการณ์จะเป็นผู้เข้ามาช่วยเหลือนักศึกษา
  • แต่เรื่องที่ต้องกลับมาคิดแก้ไขก็คือ มีครูอีกกลุ่มหนึ่งเช่นกันที่ไม่มีทักษะในการใช้งานอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะเรื่องการสื่อสาร มีหลายประเด็นที่ทั้งเขียนทั้งอธิบายไว้หน้า Website ก็ไม่เคยอ่าน ยังโทรศัพท์มาถามว่าทำอย่างไร พอบอกว่าให้อ่านที่คำอธิบาย ก็ได้รับคำตอบว่ายังไม่ได้อ่าน
  • ทั้งสองกรณีนี้ ก็เหมือนว่า เป็นเรื่องที่ตรงกันข้าม แต่ก็ต้องสรุปว่า ขึ้นอยู่กับบุคคลเป็นหลัก แต่ก็มีผลต่อการตัดสินใจเดินหน้าต่อไปว่า จะทำอย่างไร ถ้าจะรอให้พร้อมทั้งหมด ก็คงไม่ทันการณ์ แต่ถ้าจะเริ่มต้นในสภาพที่พร้อมบ้าง ไม่พร้อมบ้างจะทำอย่างไร
  • แนวคิดที่ตั้งใจว่าจะดำเนินการในปี 2553 นี้คือ จะต้องเดินหน้าเรื่องการเรียนการสอนผ่านทางอินเทอร์เน็ต หรือ e-Learning โดยจะต้องเริ่มเพียงบางพื้นที่ บางกลุ่มก่อน ที่คิดว่า เป็นกลุ่มที่สามารถเดินหน้าไปได้
  • แนวทางการเริ่มต้น 1 สำรวจข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับความพร้อม 3 เรื่องคือ นโยบายผู้บริหาร เครืองมืออุปกรณ์ บุคลากร 2 รับสมัครพื้นที่ที่ต้องการเริ่มต้น เป็นกลุ่มบุกเบิก 3 เริ่มพัฒนาระบบ 4 พัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้อง 5 พัฒนาสื่อ 6 พัฒนารูปแบบการเรียนการสอน 7 ดำเนินการ 8 หาข้อสรุปจากผลการดำเนินงาน

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

เลขาธิการ สพฐ. ลาออก

ความจริงได้ข่าวเรื่องนี้มาล่วงหน้าแล้ว แต่เป็นข่าวออกทาง TV เมื่อวานนี้ ทำให้สนใจมาก เพราะคุณหญิง กษมา เป็นที่รักและเคารพของข้าราชการในกระทรวงศึกษาธิการเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะชาว กศน. เพาะท่านเป็นผู้หนึ่งที่เป็นผู้บุกเบิก กศน. ตั้งแต่ยุคแรกๆ จนถึงปัจจุบัน และรับราชการครั้งแรกที่ กศน. แต่ด้วยเหตุผลที่ท่านลาออก ก็เป็นเรื่องที่เราเองก็เห็นด้วยกับท่าน และเห็นว่า ท่านคงคิดรอบคอบแล้ว และความเป็นจริงท่านก็เหลืออายุราชการอึก 1 ปี แต่ถึงแม้ว่าจะอยู่ในชีวิตราชการ หรือลาออกจากชีวิตราชการ ก็เชื่อว่า ท่านจะช่วยเหลือและทำประโยชน์ให้กับกระทรวงศึกษาธิการ และวงการการศึกษาตลอดไป

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

การศึกษาเพื่อใคร

ได้มีโอกาสไปพบกับกิจกรรมหนึ่งของกระบวนการจัดการศึกษา คือกิจกรรมการวัดผลการศึกษา หรือเรียกว่า การทดสอบซึ่งเป็นข้อยืนยันว่า กิจกรรมการเรียนการสอน การทดสอบ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกันอย่างแยกไม่ ออกจริงๆ และเข้าไปเกี่ยวข้องกับอีกเรื่องหนึ่งคือ การบริหารการศึกษา ซึ่งส่งผลให้การศึกษาบางครั้งก็เบี่ยงเบนไปได้
  • หลักสูตร สื่อการเรียนรู้ การวัดผล มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน โดยหลักสูตรเป็นตัวกำหนดกรอบต่างๆ ทั้งหมด สื่อการเรียนการสอน เช่น แบบเรียน ก็จะต้องกำหนดเนื้อหาการเรียนรู้และอื่นๆ ตามหลักสูตร รวมทั้งการวัดผล การออกข้อสอบก็ต้องยึดตามหลักสูตร และทั้งสามส่วนนี้จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน เพราะครูผู้สอน ก็จะยึดหลักสูตรเป็นหลัก (ตามหลักการ) แต่ก็มีไม่น้อยที่ครูผู้สอนยึดแบบเรียนเป็นหลัก ทั้งการจัดการเรียนการสอนและการออกข้อสอบ ดังนั้น ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ครูทั้งหมด ก็สรุปอย่างลงตัว แต่ถ้าไม่ใช่ เช่น ครูไม่ได้ทำความเข้าใจกับหลักสูตรเท่าที่ควร แบบเรียนก็ไม่มี และไม่ได้ออกข้อสอบเอง ผลสุด ท้ายจึงออกมาแบบไม่รู้ว่าเป็นหัวหรือก้อย และที่ร้ายกว่านั้นคือ นักเรียนไม่ค่อยได้เข้าเรียน หรือไม่ได่เข้าเรียนเลย ก็ไปกันใหญ่ เอาสมองกับสองมือมาสอบ
  • ประเด็นต่อมาคือเรื่องการบริหารจัดการเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็คล้ายๆ กับการเรียนการสอน ถ้าจะเปรียบเทียบว่าการเรียนการสอนหัวใจสำคัญคือหลักสูตร หัวใจของการบริหารจัดการก็คือนโยบาย ดังนั้น นโยบายเรื่องการจัดการศึกษาก็มีความสำคัญ สิ่งที่ต่อเนื่องมาจากนโยบายก็คือ เป้าหมาย และการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ถ้าได้มีการกำหนดนโยบาบเป็นที่เรียบร้อยว่า ต้องการจัดการศึกษา ..... และกำหนดเป้าหมายว่า ต้องจัดการศึกษาสำหรับกลุ่มเป้าหมาย ..... คน หรือเพิ่มขึ้น .... เปอร็เซ็นต์ การปฏิบัติก็ต้องทำให้ได้ตามนั้น เพื่อตอบสนองตามนโยบาย การพิจารณาจำนวนกลุ่มเป้าหมาย จึงเข้ามามีปัจจัยต่อการจัดการศึกษา ที่ต้องหากลุ่มเป้าหมายให้ได้ตามนั้น วิธีการก็มีทั้งเชิงรุก และรับ เชิงรับคือ รอให้คนมาสมัครเรียน ถ้ายังไม่ได ก็ต้องเชิงรุก คือเข้าไปหาผู้เรียนถึงที่ แล้วชักจูงให้มาเรียน โดยทั้งฝ่ายจัดการศึกษา และฝ่ายเข้ารับการศึกษาต่างก็มีผลประโยชน์ที่ได้รับด้วยกันทั้งสองฝ่าย จึงเป็นเรื่องปกติที่มีหลายๆ เรื่องเข้ามาเป็นปัจจับเกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา จึงเป็นที่มาของเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เด็กหนึโรงเรียน ไม่อยากมาเรียน นักเรียนออกกลางคัน ซึ่งเป็นตัวแสดงว่า การศึกษาไม่ตรงกับความต้องการของเขา ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว การวัดผลประเมินผล ก็ไม่ได้เกิดผลตามที่ต้องการเท่าไรนัก

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

แนวคิดแบบพอเพียง

เมื่อวานได้รับ Mail ฉบับหนึ่งที่พูด " คนไทยมีพระเจ้าอยู่หัว มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีศาสนาพุทธที่ดีมาก ทั้ง ๓ อย่างนี้ พยายามรักษาเอาไว้ให้ได้ " นิยามความรวยกับความจน มันเป็นเรื่องแปลกนะที่ประเทศไทยคนยากจนมีหนี้สินเยอะ ที่อังกฤษมีแต่คนรวยที่มีหนี้สิน คนจนไม่มีหนี้เพราะเขาไม่ให้คนจนยืมเงิน เนื่องจากกลัวจะไม่มีปัญญาใช้คืน จึงไม่มีสิทธิ์มีหนี้สิน แต่คนรวยยืมเงินได้ คำว่ารวยกับคำว่าจน มันคืออะไรกันแน่ ที่ขอนแก่นเขาว่าผมบ้าบ้าง ฝรั่งยากจนบ้าง ฝรั่งตกอับบ้าง ฝรั่งขี้นก ฝรั่งไม่มีเงิน แต่ผมบอกว่าไม่ใช่ ผมรวยนะ เขาถามว่ารวยได้ยังไง ผมบอกว่า ๑ . ผมมีบ้าน ผมทำบ้านเล็ก ๆ เป็นกระท่อมน้อย ๆ เอาหญ้ามามุงหลังคา ชาวบ้านเรียกว่าเถียงนา ไม่ใช่บ้านหรอก ผมบอกว่าใช่ มันบ้านของผม ไม่ใช่บ้านเจ้านาย ราคาหนึ่งหมื่นสองพันบาท อยู่ได้ครับ มันกันแดด - กันฝนได้ แค่นั้นผมก็รวยแล้ว ๒ . มีที่ดินแค่ ๖ ไร่เท่านั้นเอง ที่นั่นเขาบอกว่ากระจอกมีนิดเดียว แต่สำหรับฝรั่งมันเยอะมาก จริง ๆ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ เป็นพื้นฐานของชีวิต เราต้องมีที่อยู่อาศัยเป็นของเรา ไม่ใช่ของเจ้านาย เพราะว่าถ้ามันเป็นของเจ้านาย เราต้องไปหาเงินให้เขา ถ้าเราไม่มีเงินเขาก็ไล่เราออก เราไม่มีที่อยู่นะ เพราะฉะนั้นต้องมีบ้านเป็นของตัวเองไว้ก่อน ซึ่งผมก็มีบ้าน คิดว่าลูกของผมจะต้องมีบ้านแน่ ๆ ด้วย เรื่องเกษตรผมทำไม่เก่ง แต่ที่ทำได้ง่าย คือปลูกต้นไม้ ไม้ประดู่ ไม้สะเดา ไม้ยาง ปลูกไว้ให้ลูกสร้างบ้าน ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้โตเร็วมาก แค่ ๒๕ - ๓๐ ปี ตัดได้แล้ว ไม่เหมือนอังกฤษ ๒๐๐ ปีได้เท่านี้เอง เพราะอากาศเย็น เป็นเรื่องแปลกที่คนไทยจะบ่น โอ๊ย ... มันร้อน ๆ ผมว่ากลับเป็นเรื่องดี แสงแดดเยอะจะทำการเกษตรได้ตลอดเวลา ๑ ปี ทำได้ทุกวัน แต่คนไทยจะบ่นว่าร้อน ๆ ไม่เอา .. ไม่เอา .. อยากเป็นคนผิวขาวดีกว่า แต่คนอังกฤษเขาถือคนผิวขาวเป็นคนจน เพราะว่าไม่มีปัญญาจะไปเมืองนอก ซึ่งกลับกันเลย แม้แต่พ่อของผมเขาก็ยังมีเครื่องอาบแดดเพื่อให้ผิวเป็นสีแทน ให้ดูเป็นแบบคนมีสตางค์ แต่คนไทยกลับอยากมีผิวขาว วิธีคิดไม่ธรรมดาของมาร์ติน วีลเลอร์ ผมมีลูก ๓ คน ชาย ๒ หญิง ๑ สิ่งสำคัญที่สุด ๒ เรื่องในชีวิตของเรา คือ ๑ . ต้องมีบ้านเป็นของตัวเองให้ได้ จึงจะถือว่าชีวิตประสบความสำเร็จ ๒ . ต้องมีงานทำทุกวัน ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นงานอะไร แต่ขอให้มีงานทำทุกวัน ชีวิตจึงจะไม่สูญเปล่า วิธีเดียวที่รับประกันได้ว่าลูกมีงานทำ คือการมีที่ทำกินให้เขา และเราต้องช่วยให้เขาทำเป็น ผมคิดว่าคนชนบทจริง ๆ ใครมีที่ดินทำกินแล้วจะไม่ตกงาน เว้นแต่คนขี้เกียจ ซึ่งบางคนมีที่ดินเยอะแต่ไม่ยอมทำ ถ้าเราสั่งสอนให้ลูกรู้จักทำมาหากินเขาก็ไม่ตกงาน ผมถือว่างานที่อิสระและมีประโยชน์มากที่สุด คืองานเกษตร ซึ่งช่วยให้เรากินอิ่มทุกวัน คนอังกฤษกินไม่อิ่มเยอะมากนะ ผมไม่อยากให้ลูกของผมอดอาหาร อยากให้ลูกกินอิ่มในลักษณะที่ส่งเสริมสุขภาพด้วย กินอาหารที่ไม่มีสารพิษ กินอาหารแบบเรียบง่ายก็ได้แต่อิ่มทุกวัน เมื่อมีบ้าน มีงาน มีอาหาร ลูกของผมก็จะรวยที่สุด ... ฯลฯ จุดอ่อน - จุดแข็งของคนไทย ผมคิดว่าคนไทยส่วนมากยังไม่เข้าใจระบบทุนนิยม เห็นฝรั่งที่ไหนก็คิดว่ารวยหมด คิดว่าการพัฒนาในระบบทุนนิยมจะทำให้ทุกคนมีเงิน ไม่เข้าใจว่าประเทศที่พัฒนาระบบทุนนิยมนานแล้ว เช่น อังกฤษ , สหรัฐ มีปัญหาเยอะมาก แต่คนไทยก็คิดว่าเมืองนอกดีกว่า อันนี้จุดอ่อนครับ คือคนไทยสนใจเมืองนอก ไม่ได้สนใจประเทศไทย ผมเป็นฝรั่ง คุณเลยนั่งฟังผม ถ้าผมเป็นชาวบ้าน คุณจะไม่สนใจผม อันนี้เป็นจุดอ่อนนะ แต่จุดแข็งคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แผ่นดินประเทศไทยอุดมสมบูรณ์มาก ๆ มีดินเยอะมาก น้ำเยอะมาก แสงแดดเยอะมาก ทำเกษตรอยู่รอดแน่ เป็นพลังแผ่นดิน ใคร ๆ ก็อยากได้ประเทศไทย ผมก็ได้ถึง ๖ ไร่ คนไทยโชคดีมาก ๆ ที่ได้ในหลวงเป็นผู้นำ พระองค์ท่านเป็นคนที่ทำงานหนักมากเพื่อช่วยให้คนคิดได้ ช่วยให้คนอยู่ได้ จะหากษัตริย์ในประเทศอื่นไม่ค่อยมีแบบนี้ ปัญหาคือคนไทยส่วนมากนับถือในหลวง แต่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสอนของในหลวง พระองค์ท่านบอกมา ๒๗ ปีถึงเศรษฐกิจพอเพียง แต่คนไทยก็ไม่รู้จักพอเพียง เอาอย่างเดียว ถึงยกมือไหว้ในหลวง แต่เวลาดำรงชีวิตไม่ได้ทำตามในหลวง ก็ในหลวงบอกไว้แล้วว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเสือ ขอให้มีอยู่มีกินไว้ก่อน ถ้าทุกคนเริ่มคิดจริง ๆ ถึงสิ่งที่ในหลวงพูด เราน่าจะช่วยให้ประเทศไทยอยู่ได้ เพราะความคิดของในหลวงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงต้องอาศัยพลังแผ่นดิน ทำได้เฉพาะประเทศไทยนะเศรษฐกิจพอเพียง ที่อื่นทำไม่ได้หรอกเพราะเขาไม่มีที่ดิน ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเยอะเหมือนประเทศไทย พวกคุณโชคดีที่ได้แผ่นดินดี ๆ ได้ผู้นำ ( ในหลวง ) ที่ดีด้วย และเรื่องที่ ๓ เรื่องศาสนา ผมคิดว่า ศาสนาพุทธมีความสำคัญมาก ๆ สำหรับคนไทย ไม่ใช่แค่นับถือไหว้พระ แค่นั้นไม่พอแต่อยู่ที่การปฏิบัติด้วยนะ มักน้อย สันโดษ พอเพียง ธรรมะคือธรรมชาติ เป็นเรื่องง่าย ๆ พึ่งตนเองก็ได้ ปรัชญาของศาสนาพุทธทำได้นะแต่คนไทยจำนวนน้อยที่เข้าใจ จริง ๆ แล้วศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ออกแบบให้เหมาะสมสำหรับคนบ้านนอก ให้ใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติโดยไม่ทำลาย ไม่เอาเปรียบ แต่ให้เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมขาติ อยากบอกอะไรคนไทย คุณโชคดีมาก ๆ ที่เกิดในประเทศไทยที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องไปรบกับใคร ไม่ต้องไปเอาน้ำมันจากใคร ไม่ต้องไปเบียดเบียนคนอื่น ประเทศไทยอยู่ได้ กินอิ่ม มีเหลือแจกด้วย อย่าไปคิดเรื่องเงินอะไรมาก อย่าลดคุณค่าความเป็นไทยของตัวเองลง คนไทยส่วนมากนิสัยดีจริง ๆ คนไทยมีน้ำใจ หายากนะ คนไทยมีพระเจ้าอยู่หัว มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีศาสนาพุทธที่ดีมาก ทั้ง ๓ อย่างนี้ พยายามรักษาเอาไว้ให้ได้ ชีวิตที่ไม่ทะเยอทะยานเกินไป คือชีวิตที่มีคุณภาพ ชาวบ้านทุกคนทำได้ ผมเองถึงยังทำไม่สำเร็จแต่มั่นใจว่าจะทำได้แน่ในอนาคต ถ้าผมทำได้คนอื่นก็คงทำได้ง่ายกว่าผมเยอะ ทุกอย่างอยู่ที่เรา ถ้าเราไม่อยากได้อะไรมากเกินไปในชีวิต ชีวิตมันก็ง่าย พยายามทำให้ชีวิตมันง่ายขึ้นอย่าให้มันสับสน อย่าให้มันลำบาก พยายามรักษาสิ่งแบบนี้ให้ดี และอย่าเชื่อฝรั่งมากเกินไป ขอขอบคุณข้อมูลจาก chaiyo.com

แนวคิดแบบพอเพียง

เมื่อวานได้รับ Mail ฉบับหนึ่งที่พูดถึงแนวคิกของฝรั่งมราใอยู่เมืองไทย อดที่จะสนใจไม่ได้ จึงยกเอาข้อความทั้งหมดของ Mail เพื่อมานำเสนอ ดังนี้
  • " คนไทยมีพระเจ้าอยู่หัว มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีศาสนาพุทธที่ดีมาก ทั้ง ๓ อย่างนี้ พยายามรักษาเอาไว้ให้ได้ "
  • นิยามความรวยกับความจน มันเป็นเรื่องแปลกนะที่ประเทศไทยคนยากจนมีหนี้สินเยอะ ที่อังกฤษมีแต่คนรวยที่มีหนี้สิน คนจนไม่มีหนี้เพราะเขาไม่ให้คนจนยืมเงิน เนื่องจากกลัวจะไม่มีปัญญาใช้คืน จึงไม่มีสิทธิ์มีหนี้สิน แต่คนรวยยืมเงินได้ คำว่ารวยกับคำว่าจน มันคืออะไรกันแน่ ที่ขอนแก่นเขาว่าผมบ้าบ้าง ฝรั่งยากจนบ้าง ฝรั่งตกอับบ้าง ฝรั่งขี้นก ฝรั่งไม่มีเงิน แต่ผมบอกว่าไม่ใช่ ผมรวยนะ เขาถามว่ารวยได้ยังไง ผมบอกว่า
  • ๑ . ผมมีบ้าน ผมทำบ้านเล็ก ๆ เป็นกระท่อมน้อย ๆ เอาหญ้ามามุงหลังคา ชาวบ้านเรียกว่าเถียงนา ไม่ใช่บ้านหรอก ผมบอกว่าใช่ มันบ้านของผม ไม่ใช่บ้านเจ้านาย ราคาหนึ่งหมื่นสองพันบาท อยู่ได้ครับ มันกันแดด - กันฝนได้ แค่นั้นผมก็รวยแล้ว
  • ๒ . มีที่ดินแค่ ๖ ไร่เท่านั้นเอง ที่นั่นเขาบอกว่ากระจอกมีนิดเดียว แต่สำหรับฝรั่งมันเยอะมาก จริง ๆ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ เป็นพื้นฐานของชีวิต เราต้องมีที่อยู่อาศัยเป็นของเรา ไม่ใช่ของเจ้านาย เพราะว่าถ้ามันเป็นของเจ้านาย เราต้องไปหาเงินให้เขา ถ้าเราไม่มีเงินเขาก็ไล่เราออก เราไม่มีที่อยู่นะ เพราะฉะนั้นต้องมีบ้านเป็นของตัวเองไว้ก่อน ซึ่งผมก็มีบ้าน คิดว่าลูกของผมจะต้องมีบ้านแน่ ๆ ด้วย เรื่องเกษตรผมทำไม่เก่ง แต่ที่ทำได้ง่าย คือปลูกต้นไม้ ไม้ประดู่ ไม้สะเดา ไม้ยาง ปลูกไว้ให้ลูกสร้างบ้าน ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้โตเร็วมาก แค่ ๒๕ - ๓๐ ปี ตัดได้แล้ว ไม่เหมือนอังกฤษ ๒๐๐ ปีได้เท่านี้เอง เพราะอากาศเย็น
  • เป็นเรื่องแปลกที่คนไทยจะบ่น โอ๊ย ... มันร้อน ๆ ผมว่ากลับเป็นเรื่องดี แสงแดดเยอะจะทำการเกษตรได้ตลอดเวลา ๑ ปี ทำได้ทุกวัน แต่คนไทยจะบ่นว่าร้อน ๆ ไม่เอา .. ไม่เอา .. อยากเป็นคนผิวขาวดีกว่า แต่คนอังกฤษเขาถือคนผิวขาวเป็นคนจน เพราะว่าไม่มีปัญญาจะไปเมืองนอก ซึ่งกลับกันเลย แม้แต่พ่อของผมเขาก็ยังมีเครื่องอาบแดดเพื่อให้ผิวเป็นสีแทน ให้ดูเป็นแบบคนมีสตางค์ แต่คนไทยกลับอยากมีผิวขาว วิธีคิดไม่ธรรมดาของมาร์ติน วีลเลอร์ ผมมีลูก ๓ คน ชาย ๒ หญิง ๑
  • สิ่งสำคัญที่สุด ๒ เรื่องในชีวิตของเรา คือ ๑ . ต้องมีบ้านเป็นของตัวเองให้ได้ จึงจะถือว่าชีวิตประสบความสำเร็จ ๒ . ต้องมีงานทำทุกวัน ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นงานอะไร แต่ขอให้มีงานทำทุกวัน ชีวิตจึงจะไม่สูญเปล่า วิธีเดียวที่รับประกันได้ว่าลูกมีงานทำ คือการมีที่ทำกินให้เขา และเราต้องช่วยให้เขาทำเป็น ผมคิดว่าคนชนบทจริง ๆ ใครมีที่ดินทำกินแล้วจะไม่ตกงาน เว้นแต่คนขี้เกียจ ซึ่งบางคนมีที่ดินเยอะแต่ไม่ยอมทำ ถ้าเราสั่งสอนให้ลูกรู้จักทำมาหากินเขาก็ไม่ตกงาน ผมถือว่างานที่อิสระและมีประโยชน์มากที่สุด คืองานเกษตร ซึ่งช่วยให้เรากินอิ่มทุกวัน คนอังกฤษกินไม่อิ่มเยอะมากนะ ผมไม่อยากให้ลูกของผมอดอาหาร อยากให้ลูกกินอิ่มในลักษณะที่ส่งเสริมสุขภาพด้วย กินอาหารที่ไม่มีสารพิษ กินอาหารแบบเรียบง่ายก็ได้แต่อิ่มทุกวัน เมื่อมีบ้าน มีงาน มีอาหาร ลูกของผมก็จะรวยที่สุด ... ฯลฯ
  • จุดอ่อน - จุดแข็งของคนไทย ผมคิดว่าคนไทยส่วนมากยังไม่เข้าใจระบบทุนนิยม เห็นฝรั่งที่ไหนก็คิดว่ารวยหมด คิดว่าการพัฒนาในระบบทุนนิยมจะทำให้ทุกคนมีเงิน ไม่เข้าใจว่าประเทศที่พัฒนาระบบทุนนิยมนานแล้ว เช่น อังกฤษ , สหรัฐ มีปัญหาเยอะมาก แต่คนไทยก็คิดว่าเมืองนอกดีกว่า อันนี้จุดอ่อนครับ คือคนไทยสนใจเมืองนอก ไม่ได้สนใจประเทศไทย ผมเป็นฝรั่ง คุณเลยนั่งฟังผม ถ้าผมเป็นชาวบ้าน คุณจะไม่สนใจผม อันนี้เป็นจุดอ่อนนะ แต่จุดแข็งคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แผ่นดินประเทศไทยอุดมสมบูรณ์มาก ๆ มีดินเยอะมาก น้ำเยอะมาก แสงแดดเยอะมาก ทำเกษตรอยู่รอดแน่ เป็นพลังแผ่นดิน ใคร ๆ ก็อยากได้ประเทศไทย ผมก็ได้ถึง ๖ ไร่ คนไทยโชคดีมาก ๆ ที่ได้ในหลวงเป็นผู้นำ พระองค์ท่านเป็นคนที่ทำงานหนักมากเพื่อช่วยให้คนคิดได้ ช่วยให้คนอยู่ได้ จะหากษัตริย์ในประเทศอื่นไม่ค่อยมีแบบนี้ ปัญหาคือคนไทยส่วนมากนับถือในหลวง แต่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสอนของในหลวง พระองค์ท่านบอกมา ๒๗ ปีถึงเศรษฐกิจพอเพียง แต่คนไทยก็ไม่รู้จักพอเพียง เอาอย่างเดียว ถึงยกมือไหว้ในหลวง แต่เวลาดำรงชีวิตไม่ได้ทำตามในหลวง ก็ในหลวงบอกไว้แล้วว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเสือ ขอให้มีอยู่มีกินไว้ก่อน ถ้าทุกคนเริ่มคิดจริง ๆ ถึงสิ่งที่ในหลวงพูด เราน่าจะช่วยให้ประเทศไทยอยู่ได้ เพราะความคิดของในหลวงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงต้องอาศัยพลังแผ่นดิน ทำได้เฉพาะประเทศไทยนะเศรษฐกิจพอเพียง ที่อื่นทำไม่ได้หรอกเพราะเขาไม่มีที่ดิน ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเยอะเหมือนประเทศไทย พวกคุณโชคดีที่ได้แผ่นดินดี ๆ ได้ผู้นำ ( ในหลวง ) ที่ดีด้วย และเรื่องที่ ๓ เรื่องศาสนา ผมคิดว่า ศาสนาพุทธมีความสำคัญมาก ๆ สำหรับคนไทย ไม่ใช่แค่นับถือไหว้พระ แค่นั้นไม่พอแต่อยู่ที่การปฏิบัติด้วยนะ มักน้อย สันโดษ พอเพียง ธรรมะคือธรรมชาติ เป็นเรื่องง่าย ๆ พึ่งตนเองก็ได้ ปรัชญาของศาสนาพุทธทำได้นะแต่คนไทยจำนวนน้อยที่เข้าใจ จริง ๆ แล้วศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ออกแบบให้เหมาะสมสำหรับคนบ้านนอก ให้ใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติโดยไม่ทำลาย ไม่เอาเปรียบ แต่ให้เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมขาติ อยากบอกอะไรคนไทย คุณโชคดีมาก ๆ ที่เกิดในประเทศไทยที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องไปรบกับใคร ไม่ต้องไปเอาน้ำมันจากใคร ไม่ต้องไปเบียดเบียนคนอื่น ประเทศไทยอยู่ได้ กินอิ่ม มีเหลือแจกด้วย อย่าไปคิดเรื่องเงินอะไรมาก อย่าลดคุณค่าความเป็นไทยของตัวเองลง คนไทยส่วนมากนิสัยดีจริง ๆ คนไทยมีน้ำใจ หายากนะ คนไทยมีพระเจ้าอยู่หัว มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีศาสนาพุทธที่ดีมาก ทั้ง ๓ อย่างนี้ พยายามรักษาเอาไว้ให้ได้ ชีวิตที่ไม่ทะเยอทะยานเกินไป คือชีวิตที่มีคุณภาพ ชาวบ้านทุกคนทำได้ ผมเองถึงยังทำไม่สำเร็จแต่มั่นใจว่าจะทำได้แน่ในอนาคต ถ้าผมทำได้คนอื่นก็คงทำได้ง่ายกว่าผมเยอะ ทุกอย่างอยู่ที่เรา ถ้าเราไม่อยากได้อะไรมากเกินไปในชีวิต ชีวิตมันก็ง่าย พยายามทำให้ชีวิตมันง่ายขึ้นอย่าให้มันสับสน อย่าให้มันลำบาก พยายามรักษาสิ่งแบบนี้ให้ดี และอย่าเชื่อฝรั่งมากเกินไป

ขอขอบคุณข้อมูลจาก chaiyo.com

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

ข้อสอบมาตรฐาน และมาตรฐานการสอบ

  • ใครที่เรียนวัดผลมาคงรู้ดี ในการออกข้อสอบแบบ Multiple Choice นั้น ตัวเลือกที่ถูกควรกระจายไปเท่าๆกัน เช่นถ้ามีตัวเลือก 4 ตัว คือ ก ข ค ง จำนวนข้อที่ถูกควรจะเป็นของ ก ถึง ง จำนวนพอๆ กัน ดังนั้น ถ้ามีข้อสอบ 100 ข้อ ข้อ ก็น่าจะเป็นข้อถูกประมาณ 25 ข้อ
  • ประการต่อมาคือ เขาก็บอกอีกว่า ตามทฤษฎีแล้ว ข้อสอบที่ดีนั้น ต้องสามารถจำแนกคนได้ คือ คนที่มีความรู้มากที่สุดก็ควรจะได้เต็ม แต่คนที่ไม่มีความรู้เลย ก็ควรจะได้ ศูนย์ คะแนน จากข้อสรุปทั้งสองประการที่กล่าวมา ก็แสดงว่า ถ้าคนเข้าสอบคนหนึ่งรู้หลักการนี้ แล้วทำข้อสอบโดยกาที่ข้อ ก. หมด เข้าก็น่าจะได้คะแนนประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ ก็แสดงว่า เขามีความรู้ประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ ของความรู้ทั้งหมด จริงหรือไม่ คำตอบคือ ไม่จริงเพราะเขาไม่ได้อ่านคำถามด้วยซ้ำ แต่เขากา ข้อ ก.ทั้งหมด ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ ความผิดพลาดอยู้ที่ตรงไหน
  • ที่ยกตัวย่างมากนี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่า การวัดความสามารถทางสมองนั้น ไม่ใช่เป็นการวัดทางตรง เพราะไม่มีเครื่องมืออะไรเข้าไปวัดในสมองได้ จึงต้องวัดโดยวิธีการอ้อมๆ เช้าการใช้แบบทดสอบ เมื่อเป็นการวัดทางอ้อม ก็เลยมีส่วนที่ผิดพลาด หรือเรารู้จักกันว่ามันเป็น error จึงขึ้นอยู่กับว่า เราจะยอมให้มันผิดพลาดได้เท่าไร ประการต่อมาที่ต้องคิดกันต่อไปว่า ข้อสอบตามอุดมคติที่ว่านั้น จริงๆ มันมีหรือไม่ คือข้อสอบที่คนไม่มีความรู้แล้วตอบได้ศูนย์ และคนที่รู้ทั้งหมดได้ร้อย คำตอบก็ได้ตรงกันว่า ไม่มีหรอกครับ นั่นก็แสดงความข้อสอบที่มีนั้น ไม่ได้ดีที่สุด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า แบบทดสอบใช้ไม่ได้ เพราะคนที่ทำข้อสอบ ก็ต้องพยายามทำให้ข้อสอบนั้นดีที่สุด จึงมีคำว่า ข้อสอบมาตรฐานขึ้นมา
  • ก่อนที่จะเข้าเรื่องข้อสอบมาตรฐาน มาดูอีกตั้งอย่างหนึ่ง การทำข้อสอบสมัยนี้ บางครั้งก็มีการให้คะแนนที่แปลกไปอีก เช่น ใครทำถูก ได้ 1 คะแนน ทำผิด ติดลบ 1 คะแนน แต่ถ้าไม่ทำได้ 0 ที่เป็นเช่นนี้ เขาบอกว่า ป้องกันการเดา ก็มีคำถามต้อมาว่า คะแนนทีได้สมุติว่า คนสอคนไม่มีความรู้เลยทั้งคู่ แต่คนหนึ่งทำข้อสอบทั้งหมดทุกข้อ แต่เมื่อเขาไม่รู้เลย จึงผิดหมด เขาจะได้คะแนนเป็นลบ 100 แต่อีกคนหนึ่งไม่กาเลย เขาได้ 0 คะแนน ซึ่งตัวเลขไม่ติดลบ จะแปลความหมายของความรู้ของคนสองคนนี้อย่างไร
  • มาเข้าเรื่องข้อสอบมาตรฐานได้แล้ว คำว่ามาตรฐานและข้อสอบมาตรฐานนั้นนักวิชาการก็ช่วยกันคิดและกำหนดเป็นแนวทางหรือ ทฤษฎีไว้มากมายว่า ข้อสอบมาตรฐานต้องมีลักษณะอย่างไรบ้าง (จะไม่กล่าวทั้งหมดในที่นี้ เพราะมีรายละเอียดมาก)ที่สำคัญคือ ตัวข้อสอบต้องเป็นมาตรฐาน และกระบวนการทดสอบต้องเป็นมาตรฐาน ถ้าข้อสอบเป็นมาตรฐานแล้ว แต่กระบวนการสอบไม่ดี ผู้ทำข้อสอบลองข้อสอบกัน ผลคะแนนที่ออกมาก็เชื่อถือไม่ได้ ดังนั้นคำว่ามาตรฐาน ต้องเป็นมาตรฐานตั้งแต่กระบวนการทำข้อสอบให้เป็นมาตรฐาน และกระบวนการสอยที่เป็นมาตรฐาน

การทดสอบปลายภาคเรียน

การเรียนการสอน และการทดสอบ ดูเหมือนว่าจะเป็นของคู่กัน และการทดสอบดูเหมือนว่า เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ แต่อาจจะมีวิธีการที่แตกต่างกันไป เช่นเคยดูหนังจีน ก็จะพูดถึงการสอบจอหงวน เป็นต้น
  • ย้อนหลังไปเมื่อสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา เมื่อสมัยที่ตัวเองเรียนหนังสือในระดับมัธยมศึกษา ตอนนั้นระดับมัธยมศึกษามี ม.ศ.1 - ม.ศ. 5 การเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอยปลายมี 2 ปี คือ ม.ศ. 4 และ ม.ศ. 5 การรเรียนสมัยนั้น จะมีการเรียนไปเรื่อยๆ เป็นวิชาต่างๆ แล้วมีการสอบรวบยอดทุกวิชาในครั้งเดียวเมื่อสิ้นปี เขาจึงเรียกว่า สอบไล่ คือสอบเพื่อไล่ให้ไปเรียนชั้นที่สูงขึ้น ถ้าใครสอบไม่ผ่าน ก็สอบตก ต้องเรียนชั้นเดิม เรียนวิชาเดิมอัก 1 ปี แล้วสอบไล่ใหม่ และเมื่อขึ้น ม.ศ. 5 ก็สอบอีก แต่เอาเนื้อหาวิชาตั้งแต่ ม.ศ. 4- ม.ศ. 5 มาสอบ และถ้าสอบไม่ผ่าน 50 เปอร์เซ็นต์ ก็ถือว่า สอบตก ต้องเรียนซ้ำอีก 1 ปี การสดสอบจึงเป็นเรื่องสาหัสมาก
  • การเรียนการสอนต่อมา เปลี่ยนแปลงโดยแยกการเรียนและการวัดผลในแต่ละวิชาไป แต่ละวิชาก็เรียนจบใน 1 ภาคเรียน แล้วสอบกันไปทีละวิชา จนกระทั่งจบแต่ละวิชา เมื่อหมดปีก็ขึ้นไปชั้นสูงขึ้นโดยไม่มีการซ้ำชั้น จนกระทั้งจบการศึกษา ใครสอบไม่ผ่านวิชาอะไร ก็ซ่อมเฉพาะวิชานั้นๆ เป็นรายวิชาไป ดังนั้นจึงไม่มีการสอบไล่ ไม่มีการตกซ้ำชั้น
  • เมื่อพูดถึงเรื่องข้อสอบปลายภาค ก็มี 2 ลักษณะ ลักษณะแรก ครูผู้สอนเป็นผู้ออกข้อสอบและสอบเอง กับอีกลักษระหนึ่งคือใช้ข้อสอบกลาง ที่มีหน่วยงานอื่นทำหน้าที่ออกข้อสอบ แล้วส่งไปให้โรงเรียนต่างๆ ใช้ทดสอบ ซึ่งการใช้ทั้งสอบวิธีก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป สำหรับ ในช่วงแรกๆ ก็ใช้ข้อสอบกลาง โดยมีศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนภาค ร่วมกันออกข้อสอบ แต่ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นให้แต่ละจังหวัดออกข้อสอบเอง และปัจจุบันคือปี 2551 และ 2552 นี้ กลับมาใช้ข้อสอบกลางที่ส่วนกลาง ร่วมกับ สถาบัน กศน. ภาคเป็นผู้ออกข้อสอบ ให้กับแต่ละอำเภอไปทำการทดสอบ

สถาบัน กศน. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นิเทศ ตรวจเยี่ยมสนามสอบ

ระหว่างวันที่ 19-20 กันยายน 2552 นี้ ได้จัดให้มีการสอบปลายภาคเรียน สำหรับนักศึกษา กศน.ที่เข้าเรียนหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทุกระดับชั้น ซึ่งสภาบัน กศน. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ส่งคณะครูของสถาบันออกนิเทศ และเยี่ยมสนามสอบ ทั้ง 19 จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยแบ่งคณะนิเทศออกเป็น 6 สาย คือ
  • สายที่ 1 อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์
  • สายที่ 2 บุรีรัมย์ นครราชสีมา ชัยภูมิ
  • สายที่ 3 มุกดาหาร นครพนม สกลนคร
  • สายที่ 4 อุดรธานี หนองคาย หนองบัวลำภู เลย
  • สายที่ 5 อำนาจเจริญ ยโสธร ร้อยเอ็ด
  • สายที่ 6 กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ขอนแก่น

สำหรับสายที่ 2 รับผิดชอบจังหวัด บุรีรัมย์ นครราชสีมา ชัยภูมิ ได้เริ่มออกเดินทางจากสถาบัน กศน. ภาค ตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2552 และประสานงานกับ กศน. จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นจังหวัดแรก โดยเข้าพบท่าน ผอ.กศน.บุรีรัมย์ เพื่อประสานงานการนิเทศสนามสอบในวันที่ 19 โดยจะนิเทศสนามสอบที่อำเภอเมือง และอำเภอลำปลายมาศ และต่อจากนั้น จะเดินทางต่อไปอำเภอห้วยแถลง และ จักราช จังหวัดนครราชสีมา

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

ทักษะชีวิตเรื่องที่ 1 รู้กฏหมาย

ได้เริ่มพูดถึงการสึกษาตลลอดชีวิตมาหลายครั้งแล้ว แด้เชื่อมโยงให้เห็นว่า หลักสูตรบังคับสำหรับการศึกษาตลอดชีวิต มี 3 หลักสูตร คือ การพัฒนาทักษะชีวิต การพัฒนาสังคมและชุมชน และการพัฒนาอาชีพ วันนี้ขอหยิบยกหลักสูตรทักษะชีวิตการพูดถึง ถือว่า เป็นการเริ่มต้น จึงนับเป็นวิชาที่ 1
  • วิชาการทำความเข้าใจกับกฏหมาย
  • ที่นำประเด็นนี้มาพูดก็เนื่องจาก มีอาจารย์มหาวิทยาลับท่านหนึ่งมาพูดคุยกันทางทีวี และกล่าวว่า เหตุการณืบ้านเมืองทุกวันนี้ มีการฟ้องร้องกันวุ่นวาย เพราะมีเหตุการณ์วุ่นวายต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะเรื่องการประท้วง โดยยกตัวอย่างกลุ่มเสื้อแดงที่ลพบุรี ถึงขนามีการขว้างปาปลาร้า อุจาระใส่รถนายก ประเด็นที่ยกมาคือ จะต้องดำเนินการตามกฏหมาย โดยนายกกล่าวว่า จะไปดูว่าการขว้างปลาร้าใส่รถ ผิดกฏหมายหรือไม่
  • ประเด็นนี้ ทำให้สะกิดใจว่า แม่แต่นายกก็ไม่รู้กฏหมายไปทั้งหมด ยิ่งชาวบ้านทั่วๆไปแล้วกันใหญ่ ส่วนมากก็ไม่รู้ว่า อะไรถูกกฏหมาย อะไรผิดกฏหมาย หรือบางอย่างก็รู้ว่าผิด แต่ทนายก็หาประเด็นทางกฏหมายมาสู่คดีมาทำให้ไม่ผิดได้ สิ่งสำคัญที่ได้ยินมาก็คือ ทุกคนจะปฏิเสธว่า ทำไปโดยไม่รู้กฏหมายไม่ได้
  • ประเด็นที่กล่าวถึงก็คือ ต้องยอมรับว่า ภาษากฏหมายเข้าใจยากจริงๆ ครูอย่างเราๆ อ่านแล้วก็งงเหมือนกัน เขาก็เสนอแนะว่า น่าจะมีหน่วยงานอะไร มาทำหน้าที่อธิบายความให้ประชาชนได้รู้กฏหมายบ้าง ไม่ใช่ให้รู้เฉพาะ ผู้พิพากษา ทนาย ตำรวจ อัยการ หรือผู้ที่เรียนกฏหมายเท่านั้น ประชาชนก็ควรได้รับสิทธิในการรู้กฏหมายด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย
  • เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสิทธิพื้นฐาน เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับวิธีชีวิต และเป็นทักษะที่สำคัญในการดำเนินชีวิต แล้วจะไม่ให้ความสำคัญเป็นวิชาทักษะชีวิต ที่ต้องบังคับสำหรับการศึกษาตลอดชีวิตได้อย่างไร แต่ใครจะเป็นคนสร้างแหล่งการเรียนรู้นี้

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

การศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิต

ไม่ได้เข้าไปดูรายละเอียดว่า หลักสูตรวิชาทักษะชีวิตเข้าเขียนไว้อย่างไรบ้าง แต่อยากจะเขียนเรื่อง ทักษะชีวิต ตามความคิดของตัวเอง ว่าทักษะชีวิตมันเป็นอย่างไร
  • เราคงจะเคยเห็นเด็กน้อยตัวเล็กๆ น่ารัก ทำอะไรตามประสาเด็กและดูน่ารักเด็กจะทำอะไรสักอย่างก็ดูจะไม่ค่อยผิด เพราะถือว่า เข้ายังไม่ค่อยรู้เรื่อง เราเห็นเด็กน้อย 1 คน ที่กำลังน่ารัก แต่เรารู้ไหมว่า เมื่อเขาโตเป็นผู้ใหญ่ เขาจะเป็นอย่างไร ถ้าแบ่งเป็นสองซีกก็คือ โตขึ้นเขาจะเป็นคนดี หรือเป็นคนเลว เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต หรือเป็นคนล้มเหลงในชีวิต เป็นผู้ช่วยเหลือครอบครับ หรือทำลายครอบครัว ฯลฯ การที่เขาจะดำเนินชีวิตอย่างไร ตั้งแต่เด็กจนกลายเป็นผู้ใหญ่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวเขาทั้งสิ้น และถาเราจะเหมาว่า สิ่งแวดล้อมรอบตัวเข้าทั้งหมดนั้นคือ การศึกษา ก็คงจะไม่ผิดนัก ถ้าเรายอกรับว่า ทุกสิ่งที่เข้าไปทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสมองของเขาเรีกว่าการศึกษา (แต่ถ้าคิดว่า การศึกษาคือการเข้าเรียนในโรงเรียน ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง)
  • ถ้าคิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวที่เข้ามากระตุ้นให้เกิดกระบวนยการตทางสมองท่เข้าไปควบคุมพฤติกรรมต่างๆ ของเด็ก เป็นการศึกษา เราก็เรียกว่า นั่นแหละเป็นการศึกษาที่จะเกิดขึ้นตลอดชีวิต และการศึกษาแบบนี้ ก็จะมีตัวหนึ่งที่ไปทำให้เด็กคนนั้นนำมาใช้กับการดำเนินชีวิต ที่จะทำให้เขามีวิถีชีวิตเป็นอย่างไร เป็นไปในทางดี หรือทางเลว และสิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องที่มีผลต่อวิถีชีวิตนี่แหละที่เราเรียกว่าเป็นวิชาทักษะชีวิต คือสร้างทักษะหรือความชำนาญที่จะทำให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นสุข

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552

แหล่งเรียนรู้ การศึกษาตามอัธยาศัย

มีคำถามว่า ในฐานะที่ทำงานด้าน ICT จะนำเอา ICT มาใช้เพื่อการจัดการศึกษาอย่างไร คำตอบดูเหมือนว่าจะกว้างขวางมาก สาเหตุที่ตอบเช่นนี้ก็เพราะ ICT ไม่ใช่เป็นตัวหักในการจัดการศึกษา ICT เป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนการจัดการศึกษา ส่วนตัวหลักก็ยังคงเป็นคนเช่นเดิม
  • สิ่งแรก ที่คิดถึง และง่ายที่สุดคือ ใช้ ICT เป็นเครื่องมือในการสร้างแหล่งการเรียนรู้ เพราะนอกจากจะเป็นการสร้างองคฺความรู้ต่างๆ ไว้แล้ว ยังป็นการส่งเสริมการรักการอ่านด้วย (แต่สำหรับคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้นที่เข้าถึง ICT หรือเข้าถึงอินเตอร์เน็ต) แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องจากอีกเหมือนกันในการสร้างแหล่งการเรียนรู้ เอาแค่คำถามสั้นๆ ง่ายๆ ว่า จะสร้างแหล่งการเรียนรู้เรื่องอะไร ก็ตอบยากแล้ว
  • พยายามดึ่งประเด็นให้แคบเข้า ก็บอกว่า สร้างแหล่งการเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องการศึกษาตลอดชีวิต ที่เป็นหน้าที่ของ กศน. ที่สามารถจัดแหล่งการเรียนรู้ได้อย่างกว้างขวาง แต่ก็ถามต่อไปอีกว่า จะสร้างเรื่องอะไรที่เป็นการศึกษาตลอดชีวิต คำตอบก็คงออกมาเหมือนที่เคยเขียนไว้แล้ว คือสร้างแหล่งการเรียนรู้สำหรับวิชาบังคับ 3 หมวด (วิชาบังคับตามคำนิยามของผู้เขียนเอง) คือ
  • เรื่องที่ 1 พัฒนาทักษะชีวิต เรืองที่ 2 พัฒนาสังคม และเรื่องที่ 3 พัฒนาอาชีก โดยทั้งสามเรื่องต้องปรับปรุงเนื้อหาให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาและสถานการณ๖ในปัจจุบัน

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

เพิ่มพลังสมองเป็นสองเท่า

ได้ฟังเรื่องที่น่าสนใจมาอีกแล้ว และเห็นว่า เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับครู และเรื่องการเรียนการสอน คำพูดที่ได้ยินแล้วกระตุกความคิดก็คือ การเรียนรู้ของคนนั้น เกิดขึ้นที่สมอง การพัฒนาสมองให้มีความ สามารถในการเรียนรู้ได้ดีนั้น เกี่ยวข้องกับเซล์สมอง และการทำงานของสมอง เขาบอกว่า สมองของคนโง่หรือ คนฉลาดมีจำนวนเซลล์ไม่ต่างกัน (จริงหรือเปล่าไม่ขอยืนยัน) แต่คนฉลาดนั้น มีพัฒนาการทางสมองที่ดี เพราะสมองของเขาได้รับการกระตุ้นให้ทำงานเสมอ

  • ข้อความที่กล่าวนี้น่าจะมีเหตุผลให้เชื่อได้ เพราะครูของเราก็ไค้รับการสั่งสอนมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ จิตวิทยาการเรียนการสอน หรือทฤษฏีต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ ก็มุ่งไปสู่กิจกรรมกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมทางสมองทั้งสิ้น ดังนั้น จึงมีวิธีการกระตุ้นให้สมองทำงานด้วยวิธีการต่างๆ มากมาย เกิดเป็นทฤษฏีการเรียนรู้อย่างหลากหลาย

ประเด็นต่อมาที่น่าสนใจคือ เขาบอกว่า สมองมีสองซีก คือ ซีกซ้ายกับขวา ซึ่งเราก็รู้ว่า พวก ไอคิวสูงแสดงว่าสมองซีกซ้ายพัฒนาดี ส่วนพวกอีคิวสูง แสดงว่า สมองซีกขวาพัฒนาได้ดี แต่เขาบอกต่อว่า เรามัวแต่พัฒนาสมองซีกใดซีกหนึ่ง อย่างเดียว หรือพัฒนาทั้งสองซีก แต่พัฒนากันคนละที ทำไมไม่พัฒนาไปพร้อมๆ กันให้สมองทั้งสองซีกคุยกันบ้าง ถ้าเมื่อไรก็ตาม มีการกระตุ้นสมองทั้งสองซีกไปพร้อมๆกัน ให้สมองทั้งสองซีกคุยกัน จะเป็นการเพิ่มพลังสมองเป็นสองเท่า

  • คิดตามประโยคนี้ ก็เริ่มคล้อยตามเขาอีกแล้ว สมัยก่อน เรามีการแยกโรงเรียนเป็นสายวิทย์ สายศิลป์ ปัจจุบันไม่แยกโรงเรียน แต่ก็ยังแยกโปรแกรมการเรียนเป็นโปรแกรมวิทย์ โปรแกรมศิลป์ จริงๆแล้ว ถ้าให้มันไปด้วยกันได้หรือไม่ ถ้าเรามีคนที่ไอคิวก็ดี อีคิวก็สูง คงจะดีไม่น้อย และเขาก็ยืนยันว่า มันเป็นไปได้ โดยต้องมีการ กระตุ้นพัฒนาการทางสมองทั้งสองซีกไปพร้อมๆ กัน ไม่ใช่ทำกันคนละที เขาใช้คำว่า ให้สมองสองซีกคุยกันติดตามต่อไปอีกว่า

กระบวนการกระตุ้นสมองทำอย่างไร เขายกตัวอย่าง การให้โจทย์คณิตศาสตร์ แบบ กระตุ้นสมองหรือไม่กระตุ้นสมอง เช่น ถามว่า สองบวกสองเป็นเท่าไร คำตอบก็คือ 4 ต่อไปก็ถามว่า 5 คูณ 10 เป็นเท่าไร คำตอบคือ 50 ถ้ากระบวนการกระตุ้นสมองแบบนี้ ไม่ค่อยเกิดกระบวนการให้สมองได้ทำงาน เท่าไร แต่ลองเปลี่ยนใหม่ เอาคำตอบเป็นหลัก เช่นคำตอบคือ 4 แล้วให้แต่ละคนคิดว่า จะต้องเอาเลขอะไร มาทำการคำนวนแล้วให้ได้ผลลัพท์ออกมาเป็น 4 บ้าง คำตอบของแต่ละคนจะออกมาอย่างหลากหลายไม่ใช่ มีคำตอบเดียวว่า สองบวกสอง

  • ต่อไปก็เป็นการบกตัวอย่างกิจกรรมให้สมองสองซึกคุยกันซึ่งน่าสนใจมาก เป็นกิจกรรมง่ายๆ คือ การนับ จำนวนตัวเลขจากนิ้วมือ ครั้งแรกก็ทดลองมือเดียว ต่อไปเป็นสองมือ

เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่น่าสจใจมากครับ สำหรับครูมืออาชีพ นอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังเข้าไปพบบทความที่กล่าวเกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้อีก เช่น เพิ่มพลังสมองเป็น 10 เท่า หรืออื่นๆ ซึ่งน่าติดตามศึกษา

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552

เทคโนโลยี ดาบสองคม

เทคโนโลยี เป็นดาบสองคม ถ้าไม่รู้จักใช้ หรือใช้ไม่เป็น หรือไม่สามารถควบคุมมันได้ มันอาจจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพงานได้อย่างมาก แต่บางครั้งก็ทำให้งานเราพังได้เหมือนกัน แต่อย่าไปโทษเทคโนโลยีนะครับ ต้องโทษคนใช้ เพราะเทคโนโลยีมันไม่มีชีวิตจิตใจ มันทำตามคำสั่งของคนเป็นหลัก
  • เรื่องที่เกิดเป็นตัวอย่างของการควบคุมเทคโนโลยีไม่ได้ เกิดกับตัวเอง ที่ใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ในการเก็บข้อมูลที่สำคัญๆไว้ใน Harddisk สำรอง ด้วยเกรงว่า ถ้าเก็บไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ อาจเกิดการผิดพลาด สูญหายได้ ด้วยความรอบคอบ จึงนำมาเก็บรวมไว้ที่เดียว แต่ปรากฏว่า เกิดความผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจ มีการ Format Harddisk จนหมด ผลคือ ข้อมูลหายเกลี้ยง ทั้งข้อมูลสำคัญ และไม่สำคัญ โดยไม่สามารถกู้คืนได้
  • ตัวอย่างนี้ อาจจะถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นข้อมูลที่มีความสำคัญกว่านี้ อาจจะเกิดความเสียหายมากกว่านี้
  • อีกตัวอย่างหนึ่งที่ได้ฟังจากข่าวเป็นประจำ คือ เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต เราพบว่า มีประโยชน์อย่าสงมาก ในเรื่องการศึกษาหาความรู้ การติดต่อสื่อสาร จนเกิดระบบต่างๆ ตามมากมายตามเทคโนโลยี Web2 และ Web3 (อนาคต) แต่ข่าวที่ตามมาคือ การใช้อินเตอร์เน็ตเป็นเครื่องมีในการหลอกลวง การทำทุจริต การสร้างความเดือดร้อน เสียหายให้กับผู้อื่นมากมาย จนต้องออกกฏหมายมาคุ้มครองป้องกัน และลงโทษผู้กระทำผิด นี่ก็เป็นตัวอย่างของคมอีกด้านหนึ่งของดาบเทคโนโลยี ที่กลับมาเฉือดเฉือนตัวผู้ใช้เอง

วิชาบังคับ สำหรับการศึกษาตลอดชีวิต

เมื่อกล่าวถึงการศึกษาตลอดชีวิต หลายคนอาจจะนึกไม่ออก เพราะแต่ละคนคิดถึงแต่การศึกษาระดับประถม มัธยม และอุดมศึกษา นึกถึงแต่การศึกษาที่เรียนในโรงเรียน มหาวิทยาลัย มีใบประกาศนียบัตร ดังนั้นเมื่อ เรียนจบจากสภาบันเหล่านั้นแล้ว ก็ถือว่า ไม่ได้เป็นนักศึกษา ไม่ได้เข้ารับการศึกษาอีกแล้ว
  • ในสภาพที่เป็นจริง ทั้งที่อยู้ในสถาบันการศึกษาหรือจบจากสถาบันการศึกษา ทุกคนก็ต้องศึกษาหาความรู้ ตลอดเวลา คนที่ไม่ได้ศึกษาหาความรู้ ก็มีแต่คนที่ตายแล้วเท่านั้น เพราะกระบวนการเรียนรู้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นที่สมอง คนที่ไม่ได้เรียนรู้คือคนที่สมองตาย หรือคนที่ตายแล้ว ดังนั้นคนเราจึงต้องศึกษาหาความรู้ หรือเรียนรู้กันตลอดชีวิต
  • วิชาที่เราต้องศึกษาและนำมาใช้ตลอดชีวิต มีวิชาหลักอยู่ 3 วิชา คือ

วิชาที่ 1 วิชาทักษะชีวิต เป็นวิชาที่สร้างทักษะ หรือความชำนาญในการทำให้มีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข วิชาที่ 2 วิชาพัฒนาสังคม เป็นวิชาที่ทำให้เราอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างเป็นสุข วิชาที่ 3 วิชาทักษะอาชีพ เป็นวิชาที่ทำให้เรามีชีวิตและความเป็นอยู่ในสังคมได้

  • ดังนั้น ทุกคนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับการศึกษาตลอดชีวิต จึงจำเป็นต้องเรียนใน 3 หลักสูตรบังคับนี้ จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงเข้านอน บางคนตอนที่กำลังนอนหลับก็อาจจะเรียนด้วยก็ได้
  • ถามว่าเรียน 3 วิชานี้อย่างไร เพราะไม่เห็นได้เรียนอะไรเลย แต่จริงๆ ลองดูกิจวัตรประจำวันเราได้เรียนรู้หรือเปล่า เช้าขึ้นมาแปรงฟัน เราก็ได้เรียนวิชาทักษะชีวิต วิธีแปรงฟันที่ถูก วิธีเลือกแปรงสีฟัน ยาสีฟัน การแปรงฟันมีประโยชน์อย่างไร ถ้าไม่แปรงฟันจะเป็นอย่างไร ได้เรียน ได้รู้ จนเกิดทักษะในเรื่องแปรงฟัน จนถึงขั้นเกิดเจตคติที่ดีต่อการแปรงฟัน คือนำมาปฏิบัติเป็นปกติในชีวิต เรียกว่า ถ้ามีการประเมินก็ผ่านการประเมินในเนื้อหาการแปรงฟัน ตื่นเช้า ดูข่าว ฟังข่าว พูดคุยกับเพื่อนบ้าน ก็เป็นการเรียนวิชาพัฒนาสังคมแล้ว เริ่มไปทำงาน ก็เรียนรู้วิชาพัฒนาอาชีพ ว่า ทำอย่างไรให้อาชีพที่ทำอยู้มันดีขึ้น พัฒนาขึ้น
  • ดังนั้น 3 วิชานี้ อาจจะเรียกว่าเป็นหลักสูตรบังคับของการศึกษาตลอดชีวิต เป็นหลักสูตรที่ทุกคนลงทะเบียนเรียนด้วยตนเอง จัดกิจกรรมการเรียนการสอนเอง โดยไม่ต้องมีใครบังคับ มีการวัดผลประเมินผลเอง และที่สำคัญ คือ มอบใบประกาศนียบัตรให้ตัวเอง
  • นักการศึกษาต้องทำอะไรบ้าง สำหรับการศึกษาตลอดชีวิต ถ้าบอกว่า เราจะต้องไปจัดการศึกษาตลอดชีวิตให้กับประชาชน คงเป็นเรื่องยากมาก เพราะมันมากมาย กว้างขวางจริงๆ แต่ถ้าคิดเพียงว่า จะช่วยอำนวยความสะดวกให้เกิดการศึกษาตลอดชีวิต คงจะทำได้ง่ายกว่า โดยอำนวยความสะดวกให้ประชาชนทุกคน เป็นคนจัดการศึกษาตลอดชีวิต สำหรับตัวเขาเอง จัดเอง เรียนเอง ประเมินผลเอง น่ามีความเป็นไปได้มากกว่า และนักการศึกษาเอง ก็ควรจัดการศึกษาตลอดชีวิตให้ตัวงเองด้วย จะได้ไม่สอบตกหลักสูตรการศึกษาตลอดชีวิตเสียเอง

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

นโยบาย 3D Tutor Chanel และรักการอ่าน

ถ้าใช้คำที่วัยรุ่นชอบพูดกัน ก็ต้องบอกว่า ตอนนี้ กศน. งานเข้า มีเรื่องที่เป็นนโยบายเข้ามาเต็มๆ และเกี่ยวข้องกับ กศน. 3 เรื่อง คือ
  • เรื่องที่ 1 คือ นโยบาย 3D เป็นนโยบายที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการทั้งกระทรวง โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีสถานศึกษาและมีการจัดการเรียนการสอน กศน. ได้ขายรับเรื่องนี้โดยทันที โดยมีคำขวัญว่า สำนักงาน กศน.ส่งเสริมประชาธิปไตย คุณธรรมความเป็นไทย ห่างไกลยาเสพติด
  • เรื่องที่ 2 โครงการ Tutor Chanel กศน. เข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรง ทางสถานิโทรทัศน์การศึกษา ETV ที่เผยแพร่ออกอากาศรายการนี้ และสามารถที่จะดู TV Ondemand หรือดูรายการย้อนหลังได้ โดรงการนี้ เป็นโครงการติวเข้ามหาวิทยาลัยสำหรับเด็กในระบบ ก็ไม่แน่ใจว่า เด็กนอกระบบจะได้อานิสงแค่ไหนก็ไม่รู้
  • เรื่องที่ 3 นโยบายรักการอ่าน เป็นเรื่องของ กศน. เต็มๆ และนโยบายนี้ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ และจพดำเนินการต้อไปอีก 10 ปี เรียกได้ว่างานนี้เข้ามาเต็มๆ และนานอีกด้วย แต่ก็ไม่รู้ว่า ถ้าเปลี่ยนรัฐบาล จะยังคงนโยบายถึงปี 2561 หรือไม่

จากทั้งสามนโยบายดังกล่าวนี้ จึงเป็นคำถามที่ตามมาว่า กศน. ได้มีการขยับขยายและรองรับเรื่องเหล่านี้ ไว้อย่างไรบ้าง มีแนวปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมอ่ยางหรบ้าง โดยเฉพาะ 3 ยุทธศาสตร์ คือ

  1. ยุทธศาสตร์เพิ่มขีดความสามารถทางด้านการอ่าน จะทำอย่างไร ให้กลุ่มเป้าหมาย กศน. มีขีดความสามารถทางการอ่านเพิ่มขึ้น และความหมายของคำว่า ขีดความสามารถทางการอ่านหมายความว่าอย่างไร หมายความว่า สามารถอ่านได้มากภาษาขึ้น ใช่ไหม หรือสามารถอ่านได้เร็วขึ้น หรืออ่านแล้ว รู้เรื่องมากขึ้น หรืออะไรแน่ ที่เรียกว่า มีขึดความสามารถทางการอ่านเพิ่มขึ้น
  2. ยุทธศาสตร์สร้างนิสัยรักการอ่าน เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่ายนัก ที่จะทำให้คนรักการอ่าน จะต้องเริ่มจาก มีอะไรให้อ่านมากขึ้น ถ้ายังหาหนังสื่ออ่านได้ยาก หนังสือมีราคาแพง ไม่มีแหล่งให้ไปอ่านมาก ก็คงเปฌนเรื่องยากที่จะให้มีนิสัยรักการอ่าน เมื่ออดีตประมาณ 30 ปีที่ผ่านมา ได้ส่งเสริมกันมามากในเรื่อง ที่อ่านหนังสือพิมพ์ประจำหมู้บ้าน ต่อมาเปลี่ยนเป็นที่อ่านหนังสือประจำหมู่บ้าน นี่ก็เป็นนโยบายส่งเสริมให้คนอ่านหนังสื่อซึ่งเริ่มทำมานานแล้ว
  3. ยุทธศาสตร์การสร้างบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมแห่งการส่งเสริมการอ่าน ยังมองไม่ค่อยชัดเท่าไร หมายถึงมีแหล่งการอ่านให้มาก และแต่ละแห่งต้องมีบรรยากาศให้อยากอ่านหรือเปล่า ก็ทำให้นึกถึงห้องสมุดประชาชน ศูนย์การเรียนชุมชน และอื่นๆ ที่จะมีแนวทางการพัฒนาได้มากขึ้นเพื่อให้มีบรรยากาศส่งเสริมการอ่าน

มีแนวทางที่เป็นรูปธรรมอย่างไร เพื่อหน่วยงานระดับปฏิบัติจะได้รับทราบ และดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552

ฐานข้อมูลสื่อ

ได้เข้าไปดู Video ผ่านทางอินเตอร์เน็ตของ Yuo Tube มีเรื่องที่มีประโยชน์มากมาย ตัวอย่างที่ขอนำมาอ้างถึงคือ Video เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ เรื่องเกี่ยวกับร่างกาย แต่ละเรื่องมีประโนชน์เป็นอย่างมาก ถือว่า เป็นแหล่งรวบรวมสื่อที่มีประโยชน์อย่างมาก ตัวอย่างภาพทางด้านซ้ายมือ เป็นเรื่องเกี่ยวกับ Anatomy เป็นแบบจำลองแบบสามมิติ ทำให้เราได้เรียนรู้ได้ง่ายขึ้น นับว่าเป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีประโยชน์อีกแหล่งหนึ่งสำหรับประกอบกาเรียนการสอน หรือลองเข้าไปดูต้วอย่าง บางเรื่องที่ http://www.youtube.com/watch?v=gGrDAGN5pC0&feature=channel แนวคิดที่มองไปไกลอีกอย่างหนึ่งคือ แหล่งข้อมใลเหล่านี้มีประโยชน์อย่างมาก และมีการจัดหมวดหมู่เอาไว้แล้ว แต่บางคนก็อาจจะยังเข้าไม่ถึง ทำอย่างไรจะให้ทุกคนเข้าถึงได้โดยง่ายขึ้น จึงเริ่มมาดูที่ข้อจำกัดต่างๆ ดังนี้
  • ข้อจำกัดด้านเทคดนโลยี การจะเข้าถึงได้ ต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้อินเตอร์เน็ตได้ ซึ่งคนทั่วไปส่วนมากยังไม่มี
  • ข้อจำกัดด้านทักษะการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการค้นหาข้อมูล บางคนใช้คอมพิวเตอร์ แต่ค้นหาข้อมูลไม่เป็น
  • ข้อจำกัดด้านภาษา เพราะส่วนมากเป็นภาษาอังกฤษ ทั้งข้อความ และเสียงบรรยาย
  • ข้อจำกัดด้าน นิสัย ไม่ชอยการศึกษาค้นคว้า

พบข้อจำกัดต่างๆ นี้แล้ว ก็นึกเสียดายว่า คนส่วนมากยังไม่สามารถเข้าถึงสิ่งดีๆ เหล่านี้

ทำไม กศน. ไม่เปิด e-Learning

เมื่อวานนี้ ได้รับโทรศัพท์ และมีคำถามที่ทำให้คิดอะไรไปได้ยืดยาว คำถามก็คือ เปิดให้ลงทะเบียนเข้าเรียนกศน. ระดับ ม.ปลายผ่านระบบ e-Learning หรือไม่ ถ้าเปิดลงทะเบียนอย่างไร ก็ตอบไปว่า ไม่ได้เปิดให้ลงทะเบียน แต่ถ้าใครสนใจที่จะเรียนรู ก็สามารถเข้ามาเรียนได้ โดยไม่ต้องลงทะเบียน เข้าเรียนเพื่อศึกษาหาควตามรู้เฉยๆ โดยไม่มีวุฒิบัตรอะไรให้ คำถพูดที่ทำให้คิดต่อมาอีกยาวก็คือ เขาพูดว่า หนูคิดว่า กศน.มีการเปิดให้เรียนทางอินเตอร์เน็ต โดยการเรียนสามารถเรียนผ่านทางอินเตอร์เน็ต เมื่อเรียนแล้ว ถึงเวลาสอบ ก็ไปสอบ เหมือนมหาวิทยาลัยรามคำแหง แค่คำพูดแค่นี้ ก็ทำให้ต้องมาทบทวนความคิดเดิมอีกครั้ง เรื่องเกี่ยวกับ e-Learning ยังไม่ประสบความสำเร็จ คือเรื่องการจัดการเรียนการสอนผ่าน e-Learning ที่พยายามขยายแนวคิดลงไปสู่อำเภอหรือสถานศึกษาของ กศน. โดยใช้กระบวนการเรียนผ่านอินเตอร์เน็ตเป็นอีกช่องทางหนึ่งของการเรียนการสอนผ่านอินเตอร์เน็ต
  • หลักการ สภาพการเรียนการสอนของ กศน.ปัจจุบัน เมื่อผู้เรียนลงทะเบียนแล้ว ก็ไปศึกษาหาความรู้ผ่านสื่อการเรียนรู้ต่างๆ ซึ่งส่วนมากก็คือตำราเรียน โดยมีกระบวนการพบกลุ่มเป็นกิจกรรมการเรียนรู้อีกกิจกรรมหนึ่งเพื่อเป็นการทบทวน เพิ่มเติม ให้ผู้เรียนได้เข้าใจในบทเรียนมากยึ่งขึ้น และเมื่อเรียนวิชาหมดทุกวิชาแล้ว ก่อนจบกลัดสูตรแต่ละระดับ ก็จะมีการทำกิจกรรม ที่นอกเหนือจากกิจกรรมทางวิชาการอีก 1 กิจกรรม ตามสภาพความเป็นจริงแล้ว นักศึกษาจำนวนหนึ่งอาจจะไม่ค่อยได้ศึกษาหาความรู้จากสื่อต่างๆ เท่าที่ควร อาศัยกิจกรรมการพบกลุ่มเป็นหลัก เพื่อการเรียนรู้ แต่ก็มีหนักศึกษาอีกกลุ่มหนึ่ง พยายามศึกษาหาความรู้ทุกวิธีการ ทั้งอ่านหนังสือ และเข้าพบกลุ่มและอื่นๆ ถ้าเปิดช่องทางการเรียนการสอนอีกช่องทางการเรียนการสอนอีกช่องทางหนึ่ง จะช่วยได้หรือไม่ คือช่องทางการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
  • วิธีการ เมื่อนักศึกษา กศน. มาลงทะเบียนเรียนหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ก็จะได้ลงทะเบียนเรียนในระบบอินเตอร์เน็ตด้วย ตามวิชาที่เขาลงทะเบียนในแต่ละภาคเรียน นักศึกษาสามารถศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากอินเตอร์เน็ต ทั้งในส่วนที่เหมือนกับแบบเรียน แบะส่วนที่เพิ่มเติจากบทเรียน ส่วนที่เพิ่มเติมจากบทเรียน เช่น สื่อที่แตกต่างจากบทเรียน เพราะมีลักษณะเป็นสื่อ Multimedia มีการติวโดยครูที่เก่ง (เหมือนโครงการ Tutorของกระทรวง) ได้พบครูประจำกลุ่ม และติดต่อสอบถามได้ตลอดเวลา มีกิจกรรมเสริม เป็นต้น นอกจากจะได้เรียนรู้เพิ่มเติมแล้ว ยังมีการบันทึกเวลาการเข้าเรียน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของเวลาเรียนด้วย มีศูนย์แนวแนวที่ช่วยติดต่อประสานงาน และแนะนำการเรียนการสอนและอื่นๆ กับนักเรียน มีศูนย์ทดสอบเพื่อให้นักศึกษาฝึกฝนเตรียมตัวก่อนการทดสอบปลายภาคเรียน
  • แนวปฏิบัติ การเตรียมความพร้อม

1 ความพร้อมด้านระบบ ต้องมีการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการดำเนินงานทั้งหมดที่กล่าวมา โดยเฉพาะระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่าย ซึ่งมีสองส่วน คือส่วนของผู้ส่ง คือศูนย์ e-Learning ที่ตั้งอยู่ที่สำนักงาน กศน.จังหวัด และส่วนของผู้รับ คือห้องเรียนคอมพิวเตอร์ ที่อยู้ที่ ศูนย์ กศน. อำเภอ หรืออื่นๆ

2 ความพร้อมของสื่อการเรียนรู้ ในระบบ Online อาจจะยังไม่พร้อมทุกวิชา แต่เริ่มเป็นบางวิชาที่มีการลวทะเบียนเรียน

3 ความพร้อมของบุคลากร คือ ผู้จัดการเรียนการสอน ครูประจำกลุ่ม และนักศึกษา

  • กิจกรรมการเรียนการสอน 1 ดำเนินการเหมือนปกติทุกประการ 2 สำหรับนักศึกษากลุ่มหนึ่งที่มีความพร้อมที่จะเรียนผ่านอินเตอร์เน็ต ให้มาเรียนที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ ที่ศูนย์ กศน. อำเภอ ห้องสมุด หรือที่อื่นๆ เช่น อบต. (โดยการสร้างภาคีเครือข่ายกับสถานที่ที่มีคอมพิวเตอร์) หรือที่บ้านนักศึกษาที่มีคอมพิวเตอร์ 3 มีครูพี่เลี้ยงประจำศูนย์คอมพิวเตอร์ให้คำแนะนำในช่วงแรกๆ ช่วงต่อไปผู้เรียนสามารถเรียนได้เอง (แนะนำในเรื่องการใช้ อินเตอร์เน็ต และแนะนำการเรียนในระบบ e-Learning) 4 ครูประจำกลุ่ม ที่อยู่ที่จังหวัด หรือที่อำเภอ หรือที่อื่นๆ จะเป็นผู้คอยให้ความช่วยเหลือและติดต่อประสานงานกับผู้เรียน ผ่านทางระบบ Online
  • เริ่มต้นอย่างไร เริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป บนพื้นฐานของความพร้อมที่มีดังนี้ 1 ความพร้อมในเชิงนโยบายของ จังหวัดและอำเภอ ที่ต้องการจะนำแนวทางนี้เข้าไปเสริมการเรียนการสอนในปัจจุบัน 2 ความพร้อมของบุคลากรผู้ปฏิบัติงานที่ต้องการใช้แนวทางนี้ และมีประสบการณ์ในการเข้าอบรม e-Training 3 ความพร้อมของเครื่องมือ โดยเฉพาะระบบคอมพิวเตอร์

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552

online ครบวงจร

วันนี้นั่งตอบปัญหาสำหรับผู้ที่เข้าอบรม Online มีข้อที่น่าสังเกตบางประการ ดังนี้

1 ผู้เข้าอบรมแจ้งข้อมูลไม่ถูกต้อง โดยปกติการเข้ารับการอบรม ครูจะเป็นผู้ประเมินว่าผ่านการเข้าเรียน หรือไม่โดย การตรวจสอบจำนวนชั่วโมงในการเข้าเรียน แต่เนื่องจากครูผู้สอนต้องรับผิดชอบผู้เข้าอบรมจำนวนมาก บางครั้ง จึงไม่มีเวลาไปตรวจสอบว่ามีใครเข้าเรียนครบทุกบทเรียน และมีเวลาการเข้าเรียนครบแล้วบ้าง ดังนั้น ผู้เรียนจะต้องแจ้งมายังครูว่า เข้าเรียนครบแล้ว ซึ่งครูจะได้ประเมินให้ผ่าน เพื่อไปทำกิจกรรมการเรียนรู้อื่นๆต่อไป สิ่งที่พบคือ ผู้เข้าอบรมส่วนหนึ่ง จะแจ้งมาว่า เข้าเรียนครบแล้ว โดยไม่มีข้อมูบอื่นๆ เลย จึงไม่รู้ว่า ผู้เรียนเป็นใคร เรียนอะไร ดังนั้นจึงเขียนคำอธิบายไว้ที่หน้า Website ว่า ถ้าจะแจ้งเข้ามาต้องบอกข้อมูลอะไรบ้างแต่ผลที่พบก็คือ ยังมีคนกลุ่มหนึ่งแจ้งมาเหมือนเดิม จึงสงสัยว่า

  1. ผู้เข้าอบรมไม่ได้อ่านหน้า web หรือเปล่า
  2. ป่านแล้วไม่เข้าใจ
  3. ไม่เคยเข้าเรียนเลย โดยให้ผู้อื่นเข้าเรียนแทน
  4. ไมได้ศึกษากระบวนการอบรมผ่านอินเตอร์เน็ตว่า ต้องทำอย่างไรบ้าง
  5. มีปัญหาแต่ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร เพราะใน Web บอกให้ติดต่อ หรือประสานงานผ่าน e-Mail แต่ไม่รู้ว่าส่งอย่างไร

2 กระบวนการเรียนรู้ผ่านทางอินเตอร์เน็ต ยังเป็นเรื่องใหม่ หลายท่านยังไม่รู้ว่าทำอย่างไรบ้างทั้งๆ ที่มีคำอธิบายมากมาย แต่บางคนพื้นฐานการเข้าใช้ website แทบจะไม่มีเลย จึงต้องให้คนอื่นทำให้ตั้งแต่การสมัคร การเรียน และติดต่อประสานงานต่างๆ เพื่อให้จบหลักสูตร เพราะมีข้อบังคับว่า ทุกคนต้องเรียน ดังนั้น บุคคลกลุ่มนี้จึงต้องมาเรียนด้วยการบังคับ โดยทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ผ่าน

คำถามที่มีก็คือว่า ทำไมต้องบังคับ คงเป็นช่วงแรกเท่านั้นที่ต้องบังคับ เพื่อให้ครู ส่วนหนึ่งมีทักษะในการใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อการเรียนการสอน ในโอกาสข้างหน้า ถ้าจะขยายงานด้านการศึกษาทางไกล โดยเอาเทคโนโลยัด้านอินเตอร์เน็ตเข้ามาใช้ ครูเหล่านี้ จะได้ใช้เป็น ดังนั้น จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ครูต้องรู้ แต่ครูส่วนหนึ่งก็ไม่สนใจที่จะรู้ จึงต้องบังคับ แต่เมื่อบังคับแล้วก็ยังไม่รู้ จะทำอย่างไร

แนวทางแก้ปัญหาก็คือต้องมีตัวช่วยให้มากขึ้น โดยต้องช่วยเหลือมากกว่า ความช่วยเหลือทางอินเตอร์เน็ต แต่ต้องช่วยด้วยวิธีการอื่นๆ อีก เช่น การอบรม จัดทำเอกสาร แต่รตัวช่วยผ่าน web ก็ตงต้องมีเพิ่มขึ้น เช่นคงจะต้องจัดตั้งเป็น web แนะแนวการเรียนทางไกลผ่านอินเตอร์เน็ต

คำถามต่อไปก็มีว่า ขนาดครู ยังมีปัญหาขนาดนี้ แล้วนักศึกษาจะเป็นอย่างไร

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

Tutor Channel

"เพื่ออนาคตของชาติ เพื่อโอกาส ทุกคน ติวเข้ม เติมเต็มความรู้" เป็นข้อความประชาสัมพันธ์ โครงการของกระทรวงศึกษาธิการ ที่จะเริ่มเปิดตัวในวันที่ 5 กันยายน 2552 ซึ่งเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ และช่อง E TV ก็เป็นช่องที่จะออกอากาศด้วย
เสนอว่า นอกจาจะดูรายการสดแล้ว ควรให้สามารถดูรายการย้อนหลังได้ สำหรับผู้ที่ดูรายการสดไม่ทัน จะช่วยให้เกิดประโยชน์ มากยิ่งขึ้น

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552

การศึกษาทางไกล e-Learning (การลงทะเบียน)

รูปแบบการเรียนการสอนทางไกล ที่กำลังทดลองดำเนินการในปัจจุบัน เป็นรูปแบบการเรียนการสอนผ่าน เครือข่ายอินเตอร์เน็ต โดยรูปแบบการดำเนินงาน มีตั่งแต่ขั้นตอนการสมัครเรียน จนจบหลักสูตรได้รับวุฒิบัตร
  • วันนี้ขอเอาข้อสรุปในขั้นตอนที่ 1 คือการสมัครเข้าเรียนและการลงทะเบียนเรียนมากล่าวถึง ซึ่งเป็นขั้นตอนการเรียนการสอนขั้นตอนแรกที่ ผู้เรียนจะต้องพบกับการสมัครเป็นนักศึกษา หรือขั้นตอนการสมัครสมาชิกของโรงเรียน Online จากการดำเนินงาน พบว่า มีวิธีการสมัคร 3 วิธีการ คือ วิธีที่ 1 ให้นักเรียนสมัครเป็นนักศึกษาด้วยตนเอง ผ่านทางหน้า website ใครก็ตามที่เปิด website เข้ามา และต้องการเรียน จะต้องสมัครเป็นสมาชิก โดยกรอกข้อมูลได้ด้วยตนเอง เมื่อกรอกข้อมูลเสร็จ ก็ถือว่าเป็นสมาชิก หรือเป็นนักเรียนโดยสมบูรณ์ วิธีที่ 2 ทางโรงเรียนสมัครให้ ระบบ e-Learning จะไม่เปิดให้สมัครเป็นสมาชิก แต่จะให้ Download ใบสมัคร แล้วไป Print เป็นเอกสาร แล้วกรอกข้อมูลในเอกสาร เสร็จแล้ว ส่งไปสมัครทางไปรษณีย์ หรือไม่เช่นนั้น ก็เปิดใบสมัครด้วยคอมพิวเตอร์ กรอกข้อมูล แล้วส่งใบสมัครไปทาง e-Mail เมื่อทางโรงเรียนได้รับจบหมาย ก็จะสมัครให้ แล้วแจ้งผลกลับไปยังผู้เรียน วิธีที่ 3 ทางโรงเรียนสมัครให้ เป็นการจัดการเรียนการสอนสำหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ ที่รู้จัก โดยทาง โรงเรียนสมัครให้เมื่อสมัครเสร็จแล้ว ก็แจ้ง Username และ Password ไปให้ผู้เรียนทราบทาง e-Mail เพื่อเข้าใช้งานระบบ
  • การสมัครเป็นสมาชิกทั้ง 3 วิธีการนี้ มีข้อดี และข้อจำกัดต่างกัน และขณะเดียวกัน จะเชื่องโยงไปถึงกระบวนการลงทะเบียนเรียน
  • กระบวนการลงทะเบียนเรียน ในการจัดให้ผู้เรียนลงทะเบียนเรียนนั้น ทางโรงเรียนได้กำหนดรูปแบบการลงทะเบียนได้ 2 วิธีการคือ วิธีที่ 1 ผู้เรียนต้องลงทะเบียนล่วงหน้า ก่อนวันที่จะเปิดการเรียนการสอน วิธีที่ 2 ผู้เรียนสามารถลงทะเบียนเรียนเมื่อไรก็ได้
  • ทั้งสองวิธีการ มีข้อดี ข้อจำกัดดังนี้
  • การลงทะเบียบล่วงหน้า มีข้อดีคือ ผู้เรียนจะเข้าเรียนพร้อมกัน การเรียนการสอนจะดำเนินการไปพร้อมๆ กันและจบพร้อมกัน เหมาะสำหรับวิชาที่ต้องเรียนเป็นขั้นตอน และวิชาที่ต้องทำกิจกรรมตามคำแนะนำของครูผู้สอน แต่มีข้อจำกัดคือ เมื่อผู้เรียนลงทะเบียนแล้ว ไม่สามารถเรียนได้ทันที ต้องรอจนถึงวันเปิดเรียน ซึ่งไม่สอดคล้องกับหลักการตอบสนอง สำหรับการเรียนรู้ Online เพราะส่วนมาก เมื่อลงทะเบียนแล้ว ก็ต้องการเรียนทันที หรือข้อจำกัดอีกประการหนึ่งคือ เมื่อพ้นเขตการลงทะเบียนแล้ว ผู้เรียนที่ลงทะเบียนไม่ทัน จะไม่สามารถลงทะเบียนเรียนได้ ถ้าต้องการเรียนจริงๆ ต้องแจ้งให้ทางโรงเรียนเป็นผู้ลงทะเบียนให้
  • การลงทะเบียนเมื่อไรก็ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มาลงทะเบียนหลังเปิดเรียนเนื่องจากมีปัญหามาลงทะเบียนไม่ทัน ก็ยังทำให้ลงทะเบียนได้ (แต่ถ้ายังไม่ถึงวันเปิดเรียนก็ยังเข้าเรียนไม่ได้เช่นกัน) แต่ถ้าเลยวันเปิดเรียน แล้ว ก็สามารถเข้าเรียนได้ แต่มีข้อจำกัดคือ บางครั้งครูผู้สอนไม่ทราบว่า มีผู้เรียนเข้ามาเรียนเพิ่มเติม ดังนั้นอาจจะขาดการสื่อสารระหว่างครูและผู้เรียน แต่ถ้าเป็นการเรียนด้วยตนเอง โดยไม่ต้องอาศัยครูประจำกลุ่ม ก็ไม่มีปัญหามากนัก ส่วนข้อจำกัดอีกประการหนึ่งคือ ถ้ามีผู้เรียนเข้าเรียนมากเกินไป เพราะผู้เรียนสามารถลงทะเบียนเรียนเพิ่มเติมได้ตลอดเวลา จะมีผลทำให้ครูผู้สอน เปิด web เข้าไปตรวจสอบผลการเรียนได้ช้า เพราะฐานข้อมูลค่อนข้างใหญ่
  • เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว บางครั้งครูผู้สอนอาจจะเปิดให้ลงทะเบียนโดยจำกัดจำนวนผู้เรียนแต่ละกลุ่มว่า ไม่เกินเท่าไร ซึ่งจะมีผลทำให้ผู้เรียนไม่สามารถลงทะเบียนได้ถ้ามีผู้ลงทะเบียนเต็มแล้วในการเปิดให้ลงทะเบียนนั้น ทำได้ 2 วิธี คือ วิธีที่ 1 ให้ผู้เรียนลงทะเบียนเอง วิธีการนี้ค่อนข้างสะดวก แต่ควบคุมไม่ได้ เช่น ควบคุมจำนวนผู้เรียนแต่ละกลุ่มไมได้ ควบคุมกลุ่มผู้เรียนไม่ได้ เช่น กลุ่มจัดหวัด ก. ต้องอยู่กลุ่มเดียวกัน (นอกจากจะแจ้งล่วงหน้า ว่าจะให้ใครลงทะเบียนในกลุ่มใด) วิธีที่ 2 ทางโรงเรียนลงทะเบียนให้ ค่อนข้างจะควบคุมกลุ่มผู้ลงทะเบียนได้ แต่จะเสียเวลา และมีกระบวนการที่ยุ่งยาก เพราะผู้เรียนจะต้องแจ้งมาทางโรงเรียนก่อน อาจจะโดยทาง e-Mail หรืออื่นๆ แล้วครูจึงจะลง ทะเบียนให้ โดยสรุปแล้ว อาจจะกล่าวได้ว่า การเรียนทางไกล ขั้นตอนการสมัครเรียน และการลงทะเบียนเรียน ก็ต้อง เลือกให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของทั้งผู้เรียนและผูสอน

การศึกษาในยุคเศรษฐกิจสร้างสรรค์

จุดประเด็นแนวคิดจากรายการ TV ยามเช้าอีกเช่นเคย โดยผู้รู้กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีเงินทุนสำรอง มาก ดังนั้น สถานะทางการเงินมั่นคง และเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว และกล่าวต่อไปว่า การแข่งขันของประเทศ ทางด้านเศรษฐกิจนั้น จะต้องเปลี่ยนแนวคิดใหม่ หันมาใช้ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (ซึ่งแนวคิดเรื่องนี้ มีมากว่า 10 ปีแล้ว) โดยเขาบอกว่า เป็นเศรษฐกิจขายปัญญา หรือขายความคิดแปลกๆ ใหม่ๆ นั่นเอง เขายกตัวอย่าง เช่น ประเทศเกาหลี เขาลงทุนสร้างหนังเรื่องหนึ่ง แล้วฉายได้ทั่วโลก แค่เรื่องเดียวทำรายได้ดีกว่า ส่งรถยนต์ ออก 5-6 พันคัน หรือ Software ที่ลงทุนไม่มาก แต่ลงทุนทางปัญญามาก สามารถทำรายได้มหาศาล สิ่งที่เขากล่าวต่อไปคือ ฐานของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ มี 3 อย่าง คือ
  • ปัญญา
  • วัฒนธรรม
  • เทคโนโลยี
  • เอาสามสิ่งที่เป็นพื้นฐาน ในการสร้างสรรค์ความคิดเพื่อผลิตสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมา ทำน้อยชิ้น แต่ขายได้มาก (หนังเรื่องเดียว ขายทั่วโลก Software ชุดเดียว ขายทั่วโลก)สิ่งที่กล่าวถึงต่อไปคือ จะต้องมีการส่งสริม สนับสนุน ในการสร้างนักคิด ให้คนคิดอย่างสร้างสรรค์ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะโยงใยเข้ามาสู่การศึกษา คือจัดการศึกษาอย่างไร ที่จะกระตุ้นให้เกิดนักคิด นักประดิษฐ์ นักสร้างสรรค์ประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ ขึ้นมา อย่างจริงจัง เพราะการศึกษาทุกวันนี้ เป็นการศึกษาที่เรียนแบบท่องจำ เรียนตามตำรา ไม่ค่อยมีกระบวนการในการสร้างนักประดิษฐ์เท่าไร
  • เขาบอกว่า อุปสรรค์ที่สำคัญประการหนึ่งของสังคมไทยที่สกัดกั้นการเป็นนักประดิษฐฺ์ คิดค้นสิ่งใหม่ๆ เข้าให้ ดูภาพสะท้อนจากละคร ทาง TV ของไทยทุกวันนี้ และคนติดกันเต็มบ้านเต็มเมือง คือเรื่องเกี่ยวกับอิจฉา ริษยา เห็นใครได้ดีไม่ได้ เขาบอกว่าเรื่องนี้แหละเป็นเรื่องที่สกัดดาวรุ่งอย่างดี ทำให้สังคมไทยไม่ค่อยมีใคร คิดอะไรเท่าไร สิ่งนี้ มันแพร่กระจายเข้าไปในทุกสังคม โดยเฉพาะในหน่วยงาน ยิ่งเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นหน่วยรายการ หรือเอกชน การอิจฉา ริษยา แก่งแย่ง ชิงดี ชิงเด่น ไม่อยากเห็นใครได้ดีกว่า เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจนชินตา
  • คงจะเป็นเรื่องไม่ง่ายนักในสังคมไทย ที่จะสนับสนุนให้คนไทยเป็นนักประดิษฐ์ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม ได้ เพราะปัจจุบัน มีสิ่งประดิษฐ์มากมาย ที่เกิดจากฝีมือคนไทย แล้ววงการศึกษาของเรา สนับสนุนให้เกิด นักประดิษฐ์ โดยเริ่มตั้งแต่อายุยังน้อยหรือยัง หรือไปสนัสนุนเมื่อโตขึ้นแล้ว มันจะสายเกินไปหรือเปล่า

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

กำลังใจ

มีการกล่าวถึงเรื่องขวัญและกำลังใจของครูกันมาก โดยพาดพิงไปถึงรายได้น้อยพร้อมทั้งหนึ้สินของครู ซึ่งก่อให้เกิดเผลกระทบต่อการพัฒนาการเรียนการสอนโดยเขาบอกว่า ถ้าสามารถช่วยลดหน้าสินนของครูได้ ครูก็จะอยู่โรงเรียนมากขึ้น พัฒนาการเรียนการสอนให้ดีขึ้น
  • สิง่ที่พูดกันมาก คือ คือ เป็นข้าราชการที่ถือว่า อยู่ใกล้ชิดประชาชนมาก และเป็นที่รู้จักกันมานานแล้ว ครูเป็นผู้มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ของข้าราชการ ผลผลตอบแทนที่ให้กับครู ไม่สอดคล้องกับเกียรติแลบะศักดิ์ศรีที่มี เพราะไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรสารพัดในหมู่บ้าน ชาวบ้านก็ต้องมาบอกครู มาปรึกษาครู งานต่างๆ ครูก็ต้องไปร่วม ไปทำบุญ ไปช่วยเหลือ อย่างนี้ครูก็แย่
  • นอกจากนั้นแล้วปัจจุบัน ครูก็ต้องมีข้าวของเครื่องใช้ ให้สมศักดิ์ศรี ครูส่วนมาก จะเป็นครูที่เขาเรีกว่าเช้ามา เย็นกลับ เพราะไม่ได้อาศัยอยู่ที่โรงเรียน การเดินทาง ก็ต้องมีรถยนต์ โรงเรียนแถวชนบท ก็ต้องมีที่จอดรถ ครู 5 คน ก็มีรถ 5 คัน ครูจะอยู่บ้านธรรมดา แบบชาวบ้านทั่วไปก็ไม่ได้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ จึงเป็นที่มาของหนี้สินของครูทั้งสิ้น
  • จะช่วยปลดหนี้ครูอย่างไร แค่ยกหนี้สินบางส่วนมานี้ ก็จะแย่อยู่แล้ว