หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

มะเร็ง

หลังจากหลายปีที่พูดกันว่าการทำคีโมเป็นทางเลือกเดียวที่จะ ลอง และใช้ในการกำจัดโรคมะเร็ง ในที่สุดโรงพยาบาลจอห์น ฮอพกินส์ก็เริ่มแนะนำถึงทางเลือกอื่นๆอีก ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์
  • 1. ทุกๆคนมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลมะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐาน จนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับพันล้านเซล เมื่อแพทย์บอกว่าไม่มีเซลมะเร็งในร่างกายผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาแล้ว มันหมายถึงว่าระบบไม่สามารถตรวจสอบเซลมะเร็งได้เพราะว่าจำนวนของมันยังไม่มากพอ จนถึงระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น
  • 2.เซลมะเร็งเกิดขึ้นระหว่าง 6 ถึงมากกว่า 10 ครั้งในช่วงอายุของคนๆหนึ่ง
  • 3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เซลมะเรงจะถูกทำลายและป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัวและกลายเป็นเนื้องอก
  • 4. เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็ง มันกำลังบอกว่าคนๆนั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ ซึ่งอาจเกิดจากยีน สิ่งแวดล้อม อาหารและปัจจัยอื่นๆในการดำรงชีวิต
  • 5. เพื่อเอาชนะภาวะบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ การเปลี่ยนแปลงประเภทของอาหารรวมทั้งสารอาหารบางอย่างจะช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น
  • 6. การทำคีโมคือการให้สารเคมีที่มีความเป็นพิษกับเซลมะเร็งที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกัน มันก็จะทำลายเซลที่ดีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไขกระดูก ทำลายระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ และเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ
  • 7. การฉายรังสีแม้ว่าจะเป็นการทำลายเซลมะเร็ง แต่ก็ทำให้เกิดอาการไหม้ เป็นแผลเป็น และทำลายเซลที่ดี เนื้อเยื่อ และอวัยวะ
  • 8. การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสีมักจะช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ อย่างไรก็ตามถ้าทำไปนานๆพบว่ามักไม่ส่งผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก
  • 9. เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโมหรือการฉายรังสีมากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกันอาจปรับตัวเข้ากันได้หรือไม่ก็อาจถูกทำลายลง ดังนั้นคนๆนั้นจึงอาจตกอยู่ในอันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิดและทำให้โรคมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น
  • 10. การทำคีโมและการฉายรังสีอาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์ ดื้อยา และยากต่อการ
  • ทำลาย การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกระจายไปทั่วร่างกาย
  • 11. วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็ง คือการไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหารเพื่อนำไปใช้ในการขยายตัว
  • อะไรคืออาหารที่ป้อนให้กับเซลมะเร็ง
  • a. น้ำตาลคืออาหารของมะเร็ง การตัดน้ำตาลคือการตัดแหล่งอาหารสำคัญที่จ่ายให้กับเซลมะเร็ง สารทดแทนน้ำตาลอย่างเช่น "" นิวตร้าสวีต "" "" อีควล "" "" สปูนฟูล "" ฯลฯ ล้วนทำมาจากสารให้ความหวาน ซึ่งเป็นอันตราย สารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่าคือน้ำผึ้งมานูคา (จากนิวซีแลนด์) หรือน้ำอ้อย แต่ในปริมาณน้อยๆเท่านั้น เกลือสำเร็จรูปก็ใช้สารเคมีในการฟอกขาว ควรหันไปเลือกใช้ "" แบรก อมิโน "" หรือเกลือทะเลแทน
  • b. นมเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร เซลมะเร็งจะไ้ด้รับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือก การใช้นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม จะทำให้เซลมะเร็งไม่ได้รับอาหาร
  • c. เซลมะเร็งเติบโตได้ดี ในภาวะแวดล้อมที่เป็นกรด อาหารจำพวกเนื้อจะสร้างสภาวะกรดขึ้น ดังนั้นจึงควรหันไปรับประทานปลาจะดีที่สุด รองลงไปคือรับประทานไก่แทนเนื้อและหมู ในเนื้ออาจมียาฆ่าเชื้อ ฮอร์โมนที่สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์ และเชื้อปรสิตบางประเภทตกค้างอยู่ ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง
  • d. อาหารที่ประกอบด้วยผักสด 80% และน้ำผลไม้ พืชจำพวกหัว เมล็ด ถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้จำนวนเล็กน้อย จะช่วยทำให้ร่างกายมีสภาวะเป็นด่าง อาหารอีก 20% อาจได้มาจากการทำอาหารร่วมกับพืชจำพวกถั่ว น้ำผักสดจะให้เอ็นไซม์ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่ายและซึมทราบสู่ระดับเซลภายใน 15 นาที เพื่อบำรุงร่างกายและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลที่ดี เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการสร้างเซลที่ดี ให้พยายามดื่มน้ำผักสด ( ผักส่วนใหญ่รวมทั้งถั่วที่มีหน่อหรือต้นอ่อน) และรับประทานผักสดดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน เอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่ายที่อุณหภูมิ 140 องศา F ( ประมาณ 40 องศา C)
  • e. ให้หลีกเลี่ยงกาแฟ น้ำชา และช๊อกโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูง ชาเขียวถือเป็นทางเลือกที่ดีและมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง น้ำดื่มให้เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์ หรือที่ผ่านการกรอง เพื่อหลีกเลี่ยงท๊อกซินและโลหะหนักในน้ำประปา น้ำกลั่นมักมีสภาพเป็นกรด ให้หลีกเลี่ยง
  • 12. โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยาก และต้องการเอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อย เนื้อสัตว์ที่ไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาหารจะเกิดการบูดเน่าและมีความเป็นพิษมากขึ้น
  • 13. ผนังของเซลมะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้ การงดหรือการรับประทานเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้มีเอ็นไซม์เหลือมากพอมาใช้โจมตีกำแพงโปรตีนที่ห่อหุ้มเซลมะเร็ง และช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น
  • 14. สารอาหารบางอย่างอาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ( สาร IP6 [inositol hexaphosphate หรือ phytic acid], สาร Flor-essence, สาร Essiac, สารแอนตี้-อ๊อกซิแดนส์ , วิตามิน , เกลือแร่ , EFAs ฯลฯ) เพื่อช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น สารอาหารอื่นๆเช่น วิตามินอี เป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดการตายลงของเซล หรือกำหนดระยะเวลาการตายของเซล ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการกำจัดเซลที่ถูกทำลาย ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ หรือไม่มีประโยชน์ออกไป
  • 15. มะเร็งเป็นโรคที่สัมพันธ์กับจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การป้องกันเชิงรุกและการคิดในเชิงบวกจะช่วยให้เราสามารถอยู่รอดจากการทำสงครามกับมะเร็ง.... ความโกรธ การไม่รู้จักให้อภัย และความขมขื่นใจ จะทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียดและมีสภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้น ให้เรียนรู้ที่จะมีความรักและจิตวิญญาณแห่งการให้อภัย เรียนรู้ที่จะผ่อนคลายและมีความสุขกับชีวิต
  • 16. เซลมะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะที่มีอ๊อกซิเจนเป็นจำนวนมาก การออกกำลังกายทุกวัน และการหายใจลึกๆจะช่วยให้่ร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้นลงไปจนระดับเซล การบำบัดด้วยอ๊อกซิเจนถือเป็นวิธีการอีกอย่างที่ใช้ในการทำลายเซลมะเร็ง

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

การเรียนการสอนและการอบรม

มีเรื่องให้คิดและต้องทำ 2 เรื่องที่ทำให้ต้องขบคิด โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่ผ่านมาในการอบรมคอมพิวเตอร์ ประเด็นที่สำคัญคือ กระบวนการอบรมและกระบวนการเรียนการสอน ทั้งสองเรื่องมีผลที่ต้องการให้เกิดที่เป็นปลายทางเหมือนกันคือ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวบุคคลที่เข้ารับการอบรมหรือเข้าเรียน ส่วนผลการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไรนั้นอาจจะแตกต่างกันไป แต่ส่วนมากก็จะหนีไม่พ้น KSA คือ ความรู้ความเข้าใจ ทักษะ และทัศนดติ แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่แตกต่างกันประการหนึ่งของการอบรมและการเรียนการสอน คือเรื่องระยะเวลา การอบรมมักจะใช้เวลาสั้นๆ แต่ก็ไม่แน่เสมอไป เพราะการอบรมบางหลักสูตรใช้เวลาเป็นปี ก็มี แต่ประเด็นที่กำลังคิดตอนนี้คือ ถ้าถูกเหตุการณ์บังคับว่า จะต้องใช้เวลาสั้นๆ เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย จะทำอย่างไร
  • การเปลี่ยนแปลงประการแรกที่ต้องการให้เกิด คือ เปลี่ยนจากไม่รู้ เป็นรู้ ซึ่งดูเหมือนว่า การอบรม หรือการเรียนการสอนทุกที่ ทุกหลักสูตร มักจะต้องการเหมือนกัน แล้วก็ดูเหมือนว่า เป็นสิ่งที่ทุกคนคุ้นเคย
  • การที่คนเราจะเปลี่ยนจากรู้ เป็นไม่รู้ จะต้องเกิดจากกระบวนการแรกคือ กระบวนการรับรู้ ในสิ่งที่ต้องการให้รู้ ซึงการับรู้ จะเป็นการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสต่างๆ เช่นการรับรู้ด้วยการมองเห็น การได้ยินเสียง ได้กลิ่น เป็นต้น โดยการรับรู้ต่างๆนี้ จะส่งผ่านไปยังสมอง แล้วถูกนำไปผ่านกระบวนการทางสมอง บางเรื่องก็เพียงแต่สมองบันทึกและจดจำไว้เท่านั้น แต่บางเรื่องต้องมากกว่านั้น นอกจากสมองจะจดจำแล้ว จะต้องนำเอาสิ่งนั้นไปแปลความ ขยายความ วิเคราะห์ต่างๆอีกหลายประการ แต่ก็ถือว่า เป็นกระบวนการทางสมองทั้งสิ้น
  • การเปลี่ยนแปลงประการที่สอง คือเปลี่ยนจากทำไม่เป็นมาเป็นทำเป็น และทำได้อย่างคล่องแคล่ว เราเรียกว่าทักษะ การเปลี่ยนแปลงนี้ จะต้องต่อเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงตัวแรก คือ จะต้องมีความรู้ในเรื่องนั้นก่อน จึงจะทำได้ และต้องทำบ่อยๆ จึงจะเกิดทักษะ หรือบางครั้งเราก็เรียกว่า เกิดความชำนาญ
  • แต่การที่จะทำจนชำนาญหรือไม่ มักจะเชื่อมโยงกับการเปลี่นแปลงในตัวที่สามคือ ตัวที่เขาเรียกว่า การเปลี่ยนแปลงด้านทัศนคติ เพราะถ้าใจไม่เอาด้วย ไม่ชอบสิ่งที่จะทำนั้น ให้มีความรู้ความเข้าใจอย่างไร ก็ไม่อยากจะทำจนชำนาญ

โดยสรุปตรงนี้ จะเห็นว่า กระบวนการที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตามในตัวบุคคลทั้งสามประการนี้ ค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย และอาจจะต้องใช้เวลาพอสมควร จึงย้อนกลับมาสู่ประเด็นหลักคือ ถ้ามีเวลาน้อย จะทำอย่างไร ถ้าวิเคราะห์ให้ดีดูเหมือนว่า เรื่องทัศนคติ จะเข้ามาเป็นตัวแรก ของการเริ่มกระบวนการ ถ้าใครก็ตาม มีความรัก ความชอบ ในสิ่งนั้นแล้ว การที่จะไปเรียนรู้ และฝึกปฏิบัติจนกระทั่งชำนาญ คงไม่ใช่เรื่องยาก เพราะปัจจุบัน มีแหล่งให้เรียนรู้ และหาประสบการณ์ได้มากมาย

  • การอบรมแต่ละครั้ง คงไม่สามารถที่จะทำให้ทุกคน เกิดการเปลี่ยนแปลในทุกสิ่งได้ แต่ก็เชื่อว่า การอบรม น่าจะเป็นจุดที่เริ่มต้น ของการเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ จะเกิดขึ้น ทั้งระหว่างการอบรม และต่อเนื่องไปเรื่อยๆ หลังการอบรม

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

นโยบายบางครั้งก็อยู่เหนือเหตุผล

ได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุมรายการหนึ่ง เป็นการประชุมเพื่อรับมองนโยบายในการปฏิบัติงาน ยางเรื่องก็เห็ด้วยแต่บางเรื่องก็ไม่เห็นด้วย เพราะเป็นเรื่องของการเมืองมากเกินไป แต่นโยบายก็อยู่เหนือทุกอย่าง ต้องปฏิบัติ แต่ก็มีคำถามย้อนกลับมาว่า จะปฏิบัติอย่างไร จึงจะไม่เสียนโยบาย และเสียความรู้สึก

อบรมการสร้าง website

ระหว่างวันที่ 10-15 พ.ย. 2552 ได้มีโอกาสเดินทางไปจังหวัดลำปางอีกครั้ง เพื่ออบรมให้ความรู้ในการสร้าง web ให้กับ กศน. อำเภอต่างๆ ของจังหวัดลำปาง โดยมีการอบรม 2 ช่วง คือ ระหว่าง 11-13 เป็นการอบรมให้ความรู้กับ บุคลากรจาก ศูนย์ กศน. อำเภอในจังหวัดลำปาง 13 อำเภอ ส่วนวันที่ 14-15 เป็นการอบรมให้กับกลุ้มเยาวชนในหมู่บ้าน จำนวน 4 หมู่บ้าน
  • การอบรมช่วงแรก 3 วันเป็นไปด้วยดี เพราะ มีเวลามาก มีโอกาสปูพื้นฐานเรื่องระบบต่างๆ เป็นขั้นตอน แต่การอบรมช่วงหลังกับเยาวชน มีเวลาน้อยมาก แค่วันครึ่ง และมีหลายคนที่พื้นฐานคอมพิวเตอร์ไม่ค่อยดี จึงค่อนข้างจะสาหัสพอสมควร
  • ได้ข้คิดหลายประการจากการอบรมครั้งนี้ โดยเฉพาะเรื่องการสร้าง web ที่ควรจะต้องมีการปรับปรุงหลายประการ
  • การอบรมในช่วงแรกใช้เวลา 3 วัน ดำเนินการไปได้ด้วยดี แต่การอบรมให้กับเยาวชน ช่วงหลัง ใช้เวลาแค่วันครึ่ง ต้องใช้คำว่า ไม่รู้จะจัดกระบวนท่าอย่างไร เพราะไม่ว่าจะทำอย่างไร ก็ไม่มีการตอบสนองจากผู้เข้าอบรม ก้มหน้าก้มตาอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์ ขณะที่บางคน ครอบหูฟัง จึงไม่รู้ว่า ได้ฟังสิ่งที่เรากำลังพูดอยู่หรือไม่ บางคนนึกอยากทำอะไร ก็ทำ เมื่อให้ทำก็ทำไม่ได้ ก็เลยเหนื่อยหน่อย ส่วนวันที่สองอินเตอร์เน็ตมีปัญหา จึงไม่สามารถอบรมตามเนื้อหาได้ ต้องเปลี่ยนแผนกระทันหัน ดังนั้น ดดยสรุปก็คือ คงจะต้องพิจารณาตัวเองแล้วว่าคงจะต้องปลดระวางตัวเองแล้ว เกี่ยวกับการเป็นวิทยากร เพราะแก่เกินไปแล้ว
  • เห็นใจครูผู้สอนนักเรียนเลยว่า คงเหนื่อยน่าดู ถ้าไปพบกับเด็กที่หลากหลาย แต่ก็ต้องปรับกระบวนการเหมือนกัน แต่ก็เข้าใจว่า การเรียนการสอน กับการอบรม จะไม่เหมือนกัน การอบรมเป็นการเรียนรู้ในช่วงเวลาที่ค่อนข้างสั้น ดังนั้นกระบวนท่าหรือเรียกว่าเทคนิคการอบรม สำคัญมาก
  • วิทยากรจาก loxinfo เตรียมของมาแจกเยอะ ใช้วิธีการแจกของรางวัล เป็นเครื่องมือในการกระตุ้นให้ผู้เข้ารับการอบรมทำกิจกรรมต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ ในกรณีที่ผู้เข้ารับการอบรมเบื่อหน่าย การเล่นแบบนี้ต้องทำเป็นทีม จะยืนหน้าห้องเป็นครูยืนสอนแบบเราคงไม่ได้
  • ไม่ว่าจะใช้รูปแบบใด ก็ตาม ความสำคัญจะอยู่ท่ผู้เรียนเป็นสำคัญ ถ้าผู้เรียนตั้งใจ มีแรงจูงใจสูง ก็อาจจะไม่ต้องมีเทคนิควิธีการอะไรเลยที่จะสร้างความสนใจ

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ทดลองใช้ I Google

ยังมีปัญหาเรื่องภาษาไทย

กยศ. กับความบกพร่องของครู

กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เป็นนโยบายที่ดีของรัฐบาลในการสนับสนุนด้านการศึกษา แนวคิดดีมาก วิธีการในท่อนแรกก็ดี แต่กระบวนการในท่อนหลัง คือ การคืนเงินไม่ค่อยดี จนทุกวันนี้ มีผู้กู้ยืมประมาณ 500000 รายไม่ยอมมาใช้คืน จนต้องมีกระบวนการประนอมหนี้ ก่อนที่จะมีการส่งฟ้องศาล กรณีนี้ มีผู้มาออกความคิดเห็นมากมาย แล้วก็อดไม่ได้ที่มาเกี่ยวข้องกับครูจนได้ โดยมองมาว่า ครู จะต้องมีวิธีการที่ดีในการที่จะให้ความรู้ และความเข้าใจที่ถูกต้องสำหรับลูกศิษย์ ที่กู้เงินนี้ไป แต่ที่ผ่านมา ไม่ค่อยมีในเรื่องนี้ จึงส่งผลให้เกิดเหตการณ์ในปัจจุบัน
  • จากการติดตามข่าวพบว่า หลายประเทศ ก็ทำเช่นนี้ เช่น สหรัฐอเมริการ ทำมานานแล้ว ออสเตรเลีย ก็ทำ ในอเมริกา มีปัญหาไม่ส่งคืนประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์ เพราะเขามีวิธีการที่ดี จึงทำให้มีเงินมาหมุนเวียน เพื่อให้รุ่นน้องๆ ได้กูยืมตลอด แต่ของไทย พี่เอาไปแล้วไม่คืน น้องก็เลยไม่มี
  • มีผู้ออกมาวิเคราะห์ว่า เหตุผลที่สำคัญสองประการที่ทำให้นักเรียนที่กู้ยืมตั้งแต่เป็นนักเรียน จนจบมหาวิทยาลัย จบไปแล้วไม่คืนเงิน มีสาเหตุที่สำคัญ สองประการ โดยประการแรก มองไปที่จิตสำนึก และประการที่สองมองไปที่ไม่มีเงินส่งคืน เพราะไม่มีงานทำ โดยมองว่า เรื่องแรกสำคัญมากื เพราะถ้าคนนั้นมาอยู่ในสังคม ความคิดเรื่องเบี้ยวหนี้ จะฝังอยู่ในสำนึก ซึ่งเป็นอันตรายต่อสังคมอย่างมาก
  • ตัวเราเองเคยมีประสบการณ์ตรง ที่เคยเป็นพี่เลี้ยงให้กับนักศึกษาฝึกงานของสถาบันแห่งหนึ่ง มีวันหนึ่ง นักศึกษาที่มาฝึกงาน โทรศัพท์มือถือมาอวดเพื่อน เป็นรุ่นทันสมัยมาก ราคาเป็นหมื่น โดยนักศึกษาคนนั้นบอกว่า เงินออก จึงเอาไปซื้อโทรศัพท์ จึงถามว่าเงินอะไรออก ก็ได้รับว่าเงิน กยศ ออก เด็นคนนี้ ไม่รู้ว่า เป็น 1 ใน 500000 คน หรือเปล่า แต่ก็เป็น 1 กรณีที่ชี้ให้เห็นว่า เงินกู้ยืม เด็กเอาไปทำอะไร และเมื่อตามรายละเอียดลงไปอีกก็พบว่า เรื่องเงินกู้ยืม ก็เป็นหัวข้อโฆษณาประการหนึ่งของสถานศึกษาโดยเฉพาะเอกชน ที่ชักชวนให้คนมาเรียน เพราะเมื่อมีคนเข้ามาเรียน ทางสถานศึกษาก็ดำเนินการเรื่องนี้ให้นักเรียนทันที ถือว่าเป็นการสร้างแรงจูงใจ ไม่รู้ว่าเป็นแบบนี้ทุกแห่งหรือเปล่า
  • เรื่องนี้ จึงมีคนออกมาพูดว่า ต่อไปครู ต้องเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น เพี่อสร้างความตระหรักสำหรับเด็กที่กู้ยืมเงินไปใช้เพื่อการศึกษา

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ปฏิรูปการศึกษามา 50 ปี ไม่ดีขึ้น ใครรับผิดชอบ

เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะหนักสำหรับระบบการศึกษาไทย สำหรับคำถามนี้ ความจริงแล้ว เป็นคำถามที่ไปเก็บของเขามาจากการพูดคุยทาง TV เมื่อเช้านี้ แต่ดูเหมือนว่า จะเป็นคำถามที่ทิ่มแทงใจของคนในวงการการศึกษาไม่มากก็น้อย และตอนนี้ ก็มีการพูดกันมากขึ้น เมื่อเกิดแนวคิดและแนวนโยบายเรื่อง การปฏิรูปการศึกษารอบสอง ซึ่งได้หยิบยกหลายๆเรื่องมากล่าวถึง และดูเหมือนว่า เรื่องการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย มีการหยิบยกมากล่าวถึงกันไม่น้อยเช่นกัน จนคิดที่จะมีการเปลี่ยนรูปแบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัยกันอีกครั้ง
  • ประเด็นที่มีการพูดคุยกันนั้น ได้หยิบยกข้อมูลที่บอกว่า คุณภาพการศึกษาในปัจจุบันเป็นอย่างไรกัน จึงทำให้คนที่จบมหาวิทยาลัยมาแล้วไม่มีงานทำ จนมีคำพูดว่า จบมหาวิทยาลัยแล้ว ทำอะไรไม่เป็น จึงตกงานกันเป็นทิวแถว
  • การวิเคราะห์ได้เชื่อมโยงระบบการศึกษาที่ผ่านมา แต่ก่อนนั้นเมื่อผ่านการศึกษาขั้นพื้นฐาน ก็จะมีการแยกเส้นทางการเดิน ว่า จะไปทางสายอาชีพ หรือสายเข้าสู่มหาวิทยาลัย คนส่วนมากก็มีค่านืยมเข้าสายมหาวิทยาลัย คนเก่งๆ ก็ไปเข้ามหาวิทยาลัย คนไม่เก่งก็ไปสายอาชีพ แต่เมื่อไปทำงาน ก็ดูเหมือนว่า กลุ่มที่จบสายอาชีพ ดูจะต่ำต้อยกว่า ทำงานหนักไม่ได้นั่งห้องแอร์สบายเหมือนสายที่จยมหาวิทยาลัย ดังนั้น สถานศึกษากลุ่มอาชีพ ก็พยายามยกตังขึ้นเป็นวิทยาลัย มหาวิทยาลัย และรูปแบบการศึกษาที่ฝึกทำจริง ก็เปลี่ยนไป เป็นการเรียนเฉพาะวิชาการ ผลที่สุดปัจจุบัน ก็ขาดผู้ที่จบการสึกษษแล้วทำงานได้ เพราะมีแต่พวกนักวิชาการที่จบมาแต่ทำอะไรไม่เป็น
  • เขาได้กล่าวถึงการศึกษาบ้านเราว่า บางครั้งเราไปวุ่นวายกับเด็กมาเกินไป บางประเทศ เขาให้เรียนเมื่อถึงอายุ 7 ขวบ เพราะช่วงเด็ก ก็ให้เป็นเด็กที่สมบูรณ์ แต่บ้านเราเข้าไปวุ่นวายกับเด็กตั้งแต่ 2 ขวบ 3 ขวบ จนเขาเติบโตขึ้นมาอาจจะเก่งก็จริง แต่ขาดบางอย่างไป ซึ่งมีส่วนที่ทำให้สังคมมีปัญหาอยู่ทุกว่า เด็กต้องเป็นเด็ก อย่าไปยุ่งกับเด็กมากเกินไป
  • มีข้อคิดที่น่าสนใจบางประการที่เข้าบอกว่า ใครก็ตามที่จะอยู่ในสังคม มีอาชีพที่มั่นคง ควรจะมี 5 เรื่อง ต่อไปนี้
  1. สื่อสารเป็น โดยเฉพาะการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ
  2. คิดเป็น โดยเฉพาะการฝึกทักษะการคิด โดยใช้คณิตศาสตร์เป็นเครื่องมือ
  3. ทำงานเป็น
  4. จรรยาบรรณ โดยเฉพาะเรื่อง ซื่อสัตย์ กตัญญู
  5. สังเกต และเข้าใจในสถานการณ์

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

จุดอ่อนของการทำงาน

ได้มีโอกาสเป็นคณะทำงานในการสรุปผลการปฏิบัติงานของหน่วยงาน ซึ่งหน่วยงานทุกหน่วยจะต้องสรุปว่า ทำอะไรไปบ้าง และเมื่อมีโอกาสสรุปก็ได้เห็นอะไรหลายอย่างของการทำงาน โดยเฉพาะการทำงานแบบราชการ ซึ่งถ้าตั้งคำถาม ลึกๆ ลงไป ก็จะมีคำตอบบางอย่างที่ออกมาแล้วบางครั้งเราก็รับไม่ค่อยได้เหมือนกัน โดยเฉพาะคำตอบที่พยายามตอบว่า เราทำงานได้ผลคุ้มกับเงินที่ลงทุนลงแรงไปหรือไม่ ถึงแม่ว่าบางคนอาจจะบอกว่า การศึกษาจะมาคิดต้นทุน กำไร ไม่ได้ แต่เราก็อดคิดไมได้เหมือนกัน
  • สิ่งที่มักจะเป็นปัญหาอย่างมากในการสสรุปผลการปฏิบัติงาน คือ ไม่ค่อยมีข้อมูลว่า ทำอะไรบ้างได้ผลเป็นอย่างไร ผลที่ได้บางครั้งเป็นผลที่คิดเอาเองว่า ได้อะไรบ้าง แต่จริงๆ แล้วได้อย่างนั้นหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือบางครั้งก็รู้แต่เพียงว่าทำอะไรบ้าง แต่ผลเป็นอย่างไรไม่รู้ ดังนั้น เมื่อเอาทุกเรื่องที่ทำทั้งหมดมาร่วมกันเป็นภาพรวม จึงไม่รู้ว่า 1ปี ที่ผ่านมา ได้ทำอะไร และได้ผลอย่างไร เรื่องที่ได้ทั้งหมดสามารถนำไปเป็นส่วนประกอบของสิ่งที่หน่วยราชการต้องปฏิบัติในเรื่องอะไร ของนโยบายของรัฐบาล
  • สาเหตุที่สำคัญเริ่มมาตั้งแต่เริ่มแรก ที่แผนไม่ชัดเจน เพราะบางครั้งคนที่ทำก็ไท้รู้เหมือนกันว่าจะทำอะไร ทำไปเพื่ออะไร เพราะบางครั้งเวลาคิดจะทำอะไร เราเอาเรื่องที่เราจะทำเป็นตัวตั้ง แล้วค่อยหาเหตุผลว่า สอดรับกับนโยบายในข้อใด แทนที่จะคิดว่า นโยบายข้อนี้ จะต้องทำอะไรบ้าง ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้เกิดช่องโหว่ เพราะสิ่งที่ทำทั้งหมด เมื่อนำมารวมกัน ไม่สามารถตอบสนองนโยบายได้ทั้งหมด ตอบสนองเพียงบางเรื่อง
  • สิ่งต่อมาคือ เมื่อทำแล้ว ก็ไม่ได้เก็บร่องรอยเอาไว้ ว่าทำอะไร อย่างไร ได้ผลอย่างไร เมื่อเวลาจะรายงานก็รายงานได้ลำบาก และที่สำคัญคือ สิ่งต่างๆ ที่เก็บไว้ ไม่เป็นระบบและรูปแบบเดียวกัน นำมาสรุปรวมกันไม่ได้ เช่น โครงการที่เกี่ยวกับการพัฒนาคน ส่วนมากก็จะเก็ผลว่า พัฒนาคนไปได้เท่าไร แต่ถ้ามีสัก 1-2 โครงการไม่ได้เก็บข้อมูลไว้ เมื่อจะเขียนสรุปว่า ปีนี้ หน่วยงานเราพัฒนาคนไปเท่าไร ก็เลยสรุปไม่ได้ เพราะไม่มีตัวเลข อยู่ 2 โครงการ ผลสุดท้าย ถ้าต้องการได้ตัวเลขจริงๆ จึงต้องประมาณเอา
  • ระบบการวางแผน การปฏิบัติงาน ติดตามประเมินผล และ รายงาน จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำ และบันทึกร่องรอยเอาไว้ และไม่ใช่บันทึกอย่างเดียวแต่ต้องบันทึกให้เป็นระบบเดียวกันด้วย

ลมหนาวเริ่มมาอีกแล้ว

เมื่อวานนี้ (2 พ.ย. 2552) ถือว่าเริ่มหนาวแรกของปีนี้ ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดนอกจากอากาศจะเย็นลงแล้ว ลมจะพัดแรงมาก และเป็นลมกระโชกมาเป็นช่วงๆ พร้อมทั้งพักพาเอาละอองฝุ่นมาด้วย ซึ่งถือว่า เป็นสัญญลักษณ์ของความหนาวของภาคอีสาน
  • บรรยากาศช่วง ปลายฝน ต้นหนาว ถือว่าเป็นอากาศที่สบาย และมีความสุขมาก ผืนดินยังมีความชุ่มชื้นที่หลงเหลือมาจากฤดูฝน แต่ไม่เปียกชื้น อากาศก็ไม่ร้อน หรือหนาวเกินไป และโดยเฉพาะชาวนา จะมีความสุขมาก เพราะข้าวในนาเริ่มออกรวงเป็นสีทองเต็มท้องทุ่ง ซึ่งสร้างความหวังถึงเงินทองที่จะได้ตามมา แล้นำไปจับจ่ายใช้สอย ในช่วงเทศกาลปีใหม่
  • บรรยากาศการทำงาน ก็ถือว่า เป็นบรรยากาศแบบเบาๆ สบายๆ เพราะเริ่มต้นปีงบประมาณ ยังไม่มีงบประมาณส่งมา งานจึงไม่มีอะไรมากนัก นั่งเก็บตกของเก่า และเตรียมงานใหม่ ที่จะเข้ามา
  • 1 รอบปี ที่ซ้ำซาก ทำให้เริ่มเดาออกว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ เพราะช่วงฤดูหนาว มักจะจดจำอะไรได้ดี เพราะเป็นช่วงที่มีเทศกาลมากจริงๆ ตั้งแต่วันลอยกระทง ที่อากาศเริ่มหนาวแล้ว ต่อไปก็เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา ที่จะไปรวมตัวกันจุดเทียนชัยถวายพระพร ท่านกลางอากาศที่เย็นสบาย หรือบางปี ก็หนาวมาก ตามด้วยวันหยุดรัฐธรรมนูญ เว้นอีกไม่นานก็เป็นเทศกาลคริสมาส ตามด้วยส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับขึ้นปีใหม่ ซึ่งจะมีวันหยุดยาว นอกจากนั้น ช่วงนี้ก็มักจะมีเงินบางอย่างออกมา เช่นเงินปันผล เป็นพิเศษ อื่นๆ ช่างเป็นช่วงที่มีความสุขจริงๆ