หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

การศึกษาทางเลือกที่ทุกคนถูกบังคับให้เลือก

ดูเหมือนว่า การศึกษาในปัจจุบันถูกวิจารณ์อย่างหนัก ถึงความล้มเหลวของระบบการศึกษาไทย จนกระทั่งมีคำกล่าวว่า ระบบการศึกษาไทย ต่อไปก็สู้เวียตนามไม่ได้ สู้ลาวไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงมาเลเซีย และสิงคโปร์ที่เขาทิ้งเราไปหลายช่วงตัว
  • แต่มีข้อสงสัยว่า ทำไมเรามีข่าวว่าได้เหรียญทองในการแข่งขันโอลิมปิกวิชาการ มาเลเซีย สิงคโปร หรือแม้แต่อเมริกายังสู่เราไม่ได้ จริงๆแล้วมันเป็นอย่างไรกันแน่ การศึกษาบ้านเราเยี่ยม หรือแย่กันแน่
  • เปรียบเทียบข้อมูลอีกนิด ประเทศอินเดีย เรื่องการศึกษาเราก็ต้องยอมรับว่า ของเขาเยี่ยมคนเก่งๆ อยู่ที่อินเดียมากมาย เป็นประเทศเศรษฐกิจยักใหญ่ของเอเซีย แต่มองไปอีกภาพหนึ่ง เป็นภาพคนไม่มีจะกิน อดอยากยากจน ไร้การศึกษา ดูช่างเป็นภาพที่ขัดแย้งกันจริงๆ คงพอจะเอาภาพสองภาพของอินเดียมาเปรียบเทียบกับบ้านเราได้ โดยเปรียบเทียบกับคนหยิบมือหนึ่งอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้ากับมหาประชาชนส่วนมากเดินอยู่บนดิน
  • การศึกษราไม่ได้วัดกันที่การศึกษาในรั้วโรงเรียน แต่วัดกันที่การศึกษาตลอดชีวิต วัดกันว่า ใคนจะจบการศึกษาตลอดชีวิตสูงกว่ากัน ถ้าการศึกษาในโรงเรียน สูงที่สุดที่เรารู้จัดกันก็คือ จบปริญญาเอก หรือสูงกว่าปริญญาเอกอีกระดับหนึ่ง แต่การศึกษาตลอดชีวิต ไม่รู้ว่าระดับสูงสุดเขาเรียกว่าอะไร หรืออาจจะยังไม่มีชื่อเรียกก็ได้ เพราะยังไม่มีใครจบเลย เพราะเสียชีวิตก่อน หรือว่าความจริงแล้ว วันที่เขาเสียชีวิตนั่นแหละคือวันที่เขาจบการศึกษา
  • การศึกษาตลอดชีวิต เป็นการศึกษาที่มีกระบวนการเรียนการสอน ควบคู่ไปกับการดำเนินชีวิต เป็นการเรียนจากชีวิตจริง เป็นการเรียนที่เลือกสาขาวิชาโดยที่บางครั้งก็ไม่รู้ว่า เราเลือกเรียนสาขาวิชาอะไร เป็นการเรียนที่ลงทะเบียนเรียนโดยที่ไม่รู้ว่า ลงทะเบียนเรียนเมื่อไร วิชาอะไร เป็นการศึกษาที่ประเมินผลการเรียนด้วยการประเมินชีวิตที่บอกไม่ได้ว่า ได้หรือตก ได้เกรดเท่าไร แต่เป็นการศึกษาภาคบังคับที่ทุกคนต้องเรียนโดยที่คนเรียนอาจจะไม่รู้ตัวว่า กำลังถูกบังคับให้เรียน
  • เมื่อก่อนเคยนึกแต่เพียงว่า ขอเรียนแค่ปริญญาตรีก็พอ เรียนแค่ปริญญาโทก็พอ แล้วเอาความรู้ความสามารถที่ได้เรียนมาไปสอบเข้าทำงาน และการสอบเข้าทำงานสมันก่อน ก็วัดความรู้เอาจากการศึกษาในรั้วโรงเรียนแต่ดูเหมือนว่า ปัจจุบัน คนจบจากในโรงเรียนมากขึ้นใบรับรองการจบในโรงเรียน หรือวุฒิบัตร ปริญญาบัตรมักจะไม่ค่อยมีความหมายมากนัก เพราะส่วนมากกำลังมาวัดกันที่ปริญญาบัตรจากการศึกษาตลอดชีวิตกันมากขึ้น คือความสามารถในการทำงาน ไม่ใช่ควาสามารถในการสอบเพื่อจบการศึกษาในรั้วโรงเรียน
  • การศึกษาตลอดชีวิต จะมีความสำคัญในสายตาคนมากขึ้น เพราะในอนาคตข้างหน้า จำเป็นจะต้องใช้มากขึ้น (แต่ไม่ได้หมายความว่า จะไปลดความสำคัญของการศึกษาในโรงเรียนลง) แต่ดูเหมือนว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องไมได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เท่าไรนัก แต่กลับเป็นสังคมต่างมากที่ปรับตัวเอง และให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เปิดการเรียนการสอนตลอดชีวิตเต็มไปหมด และส่วนมากก็เป็นการศึกษาที่เปิดให้ลงทะเบียน และเข้าเรียนได้ตามอัธยาศัย บางครั้งก็ลงทะเบียนเรียนตั้งแต่เช้า โดยเปิด TV ดูรายการะเพื่อสุขภาพ ใช้เวลาเรียน 1 ชั่วโมงก็จบ ไม่ต้องทดสอบ ไม่ต้องประเมินผล ไม่ต้องรับวุฒิบัตร แต่ผู้เรียนก็พอใจ และถือว่าจบหลักสูตร ตรงข้ามบางท่านที่ไม่ต้องการเรียน ก็ Dropout ซึ่งก็ง่ายอีกเหมือนกันด้วยการปิด TV หรือเปลี่ยนไปช่องอื่น
  • เห็นไหมว่า มันไม่มีรูปแบบจริงๆ และเลือกได้อย่างหลากหลายตลอดชีวิตของคนเรา ต้องมีการเรียนรู้โดยตลอดในอดีตการเรียนรู้ตลอดชีวิต มักจะอยู่ในวงจำกัด ด้วยข้อจำกัดทางด้านต่างๆ ดังนั้นการศึกษาตลอดชีวิต จึงเรียนรู้จากการสนทนา พูดคุย ดูด้วยตา จากแหล่งการ เรียนรู้ใกล้ตัว จากชุมชนที่ใกล้เคียง ไม่สามารถเรียนรู้จากแหล่งการเรียนรู้ไกลๆ ได้ ปัจจุบัน ข้อจำกัดด้านการเดินทางลดลง สื่อสารช่วยเปิดโลกของการเรียนรูได้กว้างขวาง หลากหลายขึ้น มีแหล่งการเรียนนรู้เข้ามาถึงบ้าน ถึงห้องนอน ช่วยให้การเรียนรู้ตลอดชีวิต มีความสะดวกขึ้น ง่ายขึ้นพร้อมทั้งหลากหลายขึ้น ดังนั้นจึงเหมือนกับเป็นการศึกษาที่บังคับให้เราได้เรียนรู้อย่างไม่ตั้งใจ และเป็นการเรียนรู้ที่ไม่เกิดความรู้สึกว่าถูกบังคับให้เรียน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น